Anthropology and Human Right
ความคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนในทางมานุษยวิทยา หมายถึงการทำความเข้าใจวิธีคิดและระบบคุณค่าที่มนุษย์มีต่อสิทธิของบุคคล โดยทำความเข้าใจฐานความคิดที่รองรับคำอธิบายเกี่ยวกับสิทธิและตัวตนความเป็นมนุษย์ ทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติ การแสดงออก และการได้มาในสิทธิของบุคคลในบริบทต่างๆ เปรียบเทียบสังคมแต่ละแห่งว่ามีการปฏิบัติและการให้ความหมายต่อสิทธิเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง รวมถึงศึกษาวิธีการปกป้องคุ้มครองบุคคลให้ปลอดภัยจากการถูกคุกคาม การดูหมิ่นเหยียดหยาม ความขัดแย้ง และการทำร้าย และมาตรการต่างๆทางการเมืองที่ขับเคลื่อนการได้มาในสิทธิความเป็นมนุษย์
สิทธิมนุษยชนมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ในสังคมตะวันตกความคิดเรื่องสิทธิของมนุษย์ปรากฎขึ้นในช่วง Enlightenment หรือยุคที่ความรู้วิทยาศาสตร์กำลังเติบโต ส่วนวิชามานุษยวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษามนุษย์ทั้งในมิติทางวัฒนธรรมและชีววิทยาซึ่งมีทั้งจุดร่วมและจุดต่าง ประเด็นที่นักมานุษยวิทยาสนใจคือ สิทธิทางวัฒนธรรม สิทธิในการแสดงออกและธำรงรักษาวัฒนธรรมของคนกลุ่มต่างๆ (Rights to Culture) ประเด็นนี้ต้องการชี้ว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกและมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่ถูกริดรอนหรือถูกปิดกั้นจากผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม การศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของนักมานุษยวิทยายังมีน้อย การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน เนื่องจากเหตุผล 5 ประการ คือ 1) หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา สังคมโลกเริ่มตระหนักถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนมากขึ้น 2) ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็นเรื่องทางกฎหมายและอำนาจรัฐ 3) วิชามานุษยวิทยาเติบโตมาพร้อมกับลัทธิอาณานิคม ซึ่งมีบรรยายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน 4) นักมานุษยวิทยาหลายคนเริ่มตระหนักว่าวัฒนธรรมของชนเผ่ากำลังสูญหายไป หรือถูกวัฒนธรรมอื่นเข้ามาครอบงำ และ 5) วิทยาศาสตร์ต้องการสร้างความเป็นกลางและแยกส่วนสิ่งต่างๆออกจากกัน
การศึกษาเรื่องสิทธิในแต่ละวัฒนธรรมมีความละเอียดอ่อน ซึ่งวิธีคิดแบบตะวันตกอาจไม่สามารถอธิบายบริบทความแตกต่างของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับสิทธิได้ เช่น ชาวตะวันตกเชื่อว่าการคลุมหน้าของผู้หญิงมุสลิมเป็นการริดรอนสิทธิของผู้หญิง แต่ในวัฒนธรรมมุสลิม ไม่คิดว่าการคลุมหน้าคือการละเมิดสิทธิ หากแต่เป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญสำหรับผู้หญิงในการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอิสลาม กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าความหมายและการแสดงออกของสิทธิในแต่ละวัฒนธรรมจะมีบริบทที่ไม่เหมือนกัน นักมานุษยวิทยาจึงเริ่มตั้งคำถามว่าวาทกรรมของสิทธิมนุษยชนในปัจจุบันเป็นเรื่องเชิงการเมืองของสังคมประชาธิปไตยแบบเหตุผลนิยมใช่หรือไม่ เพราะการอ้างกฎหมายสากลเพื่อให้เกิดสิทธิมนุษยชนอาจบิดเบือนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการแสดงออกในเรื่องสิทธิที่แตกต่างกัน
ในหลายประเทศพยายามที่จะต่อสู้เพื่อมิให้ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยการอ้างว่าประเทศของตนมีนโยบายของตนเอง เช่นประเทศกำลังพัฒนามักอ้างว่าต้องการเวลาสำหรับการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน หรืออ้างว่าแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นแนวคิดของตะวันตกซึ่งใช้ไม่ได้กับประเทศโลกที่สาม เพราะตะวันตกใช้อำนาจในการล่าเมืองขึ้นและแสวงหาอาณานิคม ตามธรรมเนียมดั้งเดิมของมานุษยวิทยาเป็นการศึกษาความแตกต่างทางวัฒนธรรม และบริบททางวัฒนธรรมที่ต่างกัน ขณะเดียวกันก็ศึกษาความเหมือนกันของมนุษย์เพื่อเสาะหาสิ่งสากลที่มีร่วมกัน มานุษยวิทยาจึงเป็นศาสตร์ที่มีเป้าหมายเช่นเดียวกับการแสวงหาสิทธิมนุษยชน ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชนกับเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมยังเป็นประเด็นที่นักมานุษยวิทยาต้องศึกษาและโต้เถียงกันต่อไป
คำว่า “สิทธิมนุษย์” เป็นคำที่บ่งบอกให้รู้ถึงคุณค่าของมนุษย์ คำนี้เป็นแนวคิดที่อยู่เหนือขอบเขตความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในหลายประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันกับองค์การสหประชาชาติและกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนสากล ในบางประเทศอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนและอ้างความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพื่อมิให้ถูกตำหนิ ถ้าวัฒนธรรมเป็นตัวขัดขวางสิทธิก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นกัน เช่น การขลิบอวัยวะเพศของผู้หญิงในสังคมแอฟริกาและตะวันออกกลาง ความแตกต่างและเงื่อนไขทางวัฒนธรรมอาจถูกยกขึ้นมาเป็นเหตุผลของการไม่ปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชน แต่นักวิชาการบางคนกล่าวว่าเหตุผลทางวัฒนธรรมไม่ควรนำมาอ้างในการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามสิทธิเกี่ยวกับบุคล กลุ่มทางสังคม และประเทศชาติยังคงเป็นสิ่งที่มีปัญหา
ตามธรรมเนียมเดิม นักมานุษยวิทยาจะลงไปเก็บข้อมูลในหมู่บ้านและชุมชนของชาวพื้นเมืองซึ่งเป็นสังคมที่ไร้อำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ นักมานุษยวิทยาที่ทำงานภาคสนามมีโอกาสที่จะเห็นและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษย์ในหมู่บ้าน แต่นักมานุษยวิทยาก็อยู่ไม่นาน ตัวอย่างเช่น นักมานุษยวิทยาเข้าไปเรียกร้องเสรีภาพให้กับชาวบ้านซึ่งอาจถูกรัฐบาลสั่งห้ามมิให้เข้าไปทำงานในหมู่บ้านนั้นอีก นักมานุษยวิทยายังมีทางเลือกเพื่อไปทำงานในที่อื่นๆ แต่ชาวบ้านยังต้องอยู่ที่นั่นต่อไป ดังนั้นการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนจึงเป็นอันตราย หรืออาจถึงตายได้ ไม่ว่าจะเป็นนักมานุษยวิทยา ชาวบ้าน หรือผู้ที่ให้ข้อมูล
นักมานุษยวิทยาที่อยู่ในหมู่บ้านต้องเป็นผู้ที่ทำงานเชิงรุก ยืดหยุ่น และรู้จักป้องกันตัวเอง นอกจากนั้นยังต้องรักษาจรรยาบรรณของการทำงานด้วย สมาคมมานุษยวิทยาอมเริกาเคยกล่าวว่าความรับผิดชอบอันดับแรกของนักมานุษยวิทยาก็คือ ชีวิตของชาวบ้านที่นักมานุษยวิทยาเข้าไปศึกษา นักมานุษยวิทยาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีชาวบ้าน นักมานุษยวิทยาต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในร่างกาย สังคม และความรู้สึกของชาวบ้าน นักมานุษยวิทยาต้องปกป้องสิทธิ ผลประโยชน์ และจิตใจของชาวบ้านอย่างเต็มเปี่ยม และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนโดยตรง
นักมานุษยวิทยาที่ทำงานเป็นปากเสียงแทนชาวบ้านจะต้องต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีกว่า ถึงแม้ว่านักมานุษยวิทยาจะทำหน้าที่ตัวแทนของชาวบ้าน แต่เป็นการกระทำจากเหตุผลส่วนตัว หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เมื่อสิ้นสุดระบบอาณานิคมและมีการปลดปล่อยประเทศต่างๆเป็นอิสระ นักมานุษยวิทยาก็เริ่มต่อสู้เพื่อเสรีภาพของชาวบ้านเช่นเดียวกัน กรณีสงครามเวียดนามทำให้นักมานุษยวิทยาหันมาทบทวนบทบาทของตัวเองมากขึ้น ทั้งในเรื่องวิชาชีพ ศีลธรรม จริยธรรม และการเมือง ในช่วงเวลานั้นก็เริ่มมีรายงานเกี่ยวกับการฆ่าหมู่และฆ่าชนกลุ่มน้อยในอเมซอนและที่อื่นๆของโลกมากขึ้น นักมานุษยวิทยาจากลาตินอเมริกาได้จัดประชุมเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเพื่อวิจารณ์การทำงานของนักมานุษยวิทยา
สาระจากการประชุมครั้งนั้นก่อให้เกิดสัตยาบรรณของนักมานุษยวิทยาที่จะต้องทำหน้าที่ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของชนพื้นเมือง นักมานุษยวิทยาประเภททำงานเพื่อมวลชนจึงถือกำเนิดขึ้นมา โดยมีประเด็นที่สนใจคือเรื่องปัญหาสังคม เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต การรักษาวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย และสิทธิพลเมืองของชนพื้นเมืองในส่วนต่างๆของโลก ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นักมานุษยวิทยาจำนวนมากได้มาร่วมสัมมนาและจัดตั้งกลุ่มทำงานเพื่อสังคมภายใต้หัวข้อเรื่อง การอยู่รอดของวัฒนธรรม (Cultural Survival) การสัมมนาในแนวนี้จัดที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซ็ตต์ กรุงโฮเปนเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ค และกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ การจัดสัมมนาดังกล่าวไม่เพียงแต่พูดถึงเรื่องสิทธิของคนพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แต่ยังมีการผลักดันไปสู่การวิจัยด้วย
ถึงแม้ว่าขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนจะเป็นขบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทางสังคมและวัฒนธรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ความยุ่งยาก ซับซ้อนเกี่ยวกับปัญหาด้านสิทธิก็ยังคงมีอยู่ สถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนกำลังเลวร้ายลง ท่ามกลางสังคมที่เน้นการบริโภคซึ่งต้องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร มีการแย่งชิงที่ดิน แรงงานซึ่งเป็นของชนพื้นเมือง ประกอบกับอำนาจรัฐที่เข้ามาควบคุมและกดขี่ชนพื้นเมืองมากขึ้น นอกจากนั้น ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิยังมีเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย หรือเหตุการณ์ทำนองเดียวกันในที่อื่นๆซึ่งเป็นเรื่องความขัดแย้งทางเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์และศาสนา ความขัดแย้งดังกล่าวนี้กำลังแผ่ขยายออกไปภายใต้ลัทธิชาตินิยม ซึ่งนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ สิ่งท้าทายสิทธิมนุษยชนที่สำคัญก็คือการสร้างสภาพสังคมที่เหมาะสมมากกว่าที่จะไปขจัดหรือต่อต้านการละเมิดสิทธิ นักมานุษยวิทยาจะต้องเข้าไปมีส่วนในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการตระหนัก ป้องกัน และรณรงค์ให้เกิดสิทธิมนุษยชนสำหรับคนพื้นเมืองและประชาชน ชาวบ้านต่างรู้ว่านักมานุษยวิทยาคือส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา หรือเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ซึ่งอาจทำให้ชาวบ้านปิดกั้นมิให้นักมานุษยวิทยาเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา และนับวันชาวบ้านก็ยิ่งปิดกั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
นักมานุษยวิทยาต้องตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้มากขึ้น สิทธิมนุษยชนอาจเป็นทั้งขุมทรัพย์หรือหลุมระเบิดทางการเมืองและศีลธรรม แต่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องแสวงหาความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยม รวมทั้งความรับผิดชอบที่มาจากนักมานุษยวิทยาด้วย อาจกล่าวได้ว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนทำให้นักมานุษยวิทยา หันกลับมาตรวจสอบความรู้และการทำงานของตัวเองซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ทำให้นักมานุษยวิทยาต้องทำงานตามภาระหน้าที่ซึ่งมุ่งหวังที่จะเป็นศาสตร์ที่ยกระดับจิตใจมนุษย์
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Birx, James. 2006. "Human Rights and Anthropology." Encyclopedia of Anthropology. Thousand Oaks, CA: Sage Publications.
David Levinson and Melvin Ember (eds.) Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. 1996, pp.603-606.
Wilson, R. A. and Mitchell, J. P. (Eds.) 2004. Human Rights in global perspective: anthropological studies of rights claims and entitlements. London: Routledge.
หัวเรื่องอิสระ: มานุษยวิทยากับสิทธิมนุษยชน