Peasantry
คำว่า “ชาวนา” อาจหมายถึงผู้ที่อยู่อาศัยในเขตชนบทหรือเขตทุรกันดารไกลความเจริญ คำว่าชาวนา หรือ peasant มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ pagensis หมายถึงเขตแดนของชนบท หรือเป็นดินแดนที่ป่าเถื่อน คำนี้ถูกใช้ในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตอนปลาย รูปแบบการยังชีพแบบชาวนาเป็นการทำมาหากินแบบดั้งเดิม ชาวนาจะอาศัยอยู่ในเขตชนบทในยุคสมัยที่เริ่มมีอารยธรรมเมื่อประมาณ 6,000 ปีก่อน สังคมชาวนาเป็นสังคมหลักในอารยธรรมจีน อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกใกล้ และยุโรป รวมทั้งบางส่วนในเขตอเมริกา เช่น สังคมของชาวมายา
คาร์ล มาร์ก อธิบายว่าชีวิตแบบชาวนาชาวสวนคือชีวิตที่โง่เง่า เออร์เนสทีน ฟรีด กล่าวว่าความหมายของ peasant คือการขัดขืนอย่างโง่เขลาและดื้อดึงต่อการเปลี่ยนแปลง สังคมชาวนาชาวสวน มีลักษณะที่มั่นคงทางวัฒนธรรมและประเพณี อยู่ห่างไกลจากเมืองและการครอบงำของผู้ปกครอง การศึกษาสังคมชาวนาทางมานุษยวิทยาเกิดขึ้นได้ไม่นาน ก่อนหน้านั้นนักประวัติศาสตร์ได้ศึกษาความสัมพันธ์ในระบบฟิวดัลและการถือครองที่ดินของชาวนาในสมัยยุโรปตอนกลาง นักคติชนวิทยาได้ศึกษาขนบธรรมเนียม นิทานพื้นบ้าน ความเชื่อ และชีวิตพื้นบ้าน
การศึกษาทางมานุษยวิทยา เป็นการศึกษาภาคสนามในสังคมชนเผ่าแตกต่างจากนักประวัติศาสตร์ จนกระทั่งในทศวรรษที่ 1930 การศึกษาทางชาติพันธุ์ในสังคมชาวนาก็เริ่มชัดเจนขึ้น เช่นในศึกษาของเรดฟีลด์ในเม็กซิโก การศึกษาของอาเรนเบอร์กในไอร์แลนด์ และการศึกษาของเอ็มบรีในญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง การศึกษาสังคมชาวนาของนักมานุษยวิทยามีมากขึ้น ประเด็นเรื่องชาวนาเริ่มมีแนวคิดทฤษฎีเป็นของตัวเอง
การศึกษาสังคมชาวนาด้วยแนวคิดหน้าที่นิยม เป็นการใช้ทฤษฎีแรกๆในการอธิบาย โดยเชื่อว่าสังคมชาวนาคือรูปแบบของชุมชนประเภทหนึ่ง ที่มีความกลมเกลียวแน่นแฟ้น มีขนาดเล็ก และอยู่ห่างไกล นักมานุษยวิทยาอธิบายสังคมชาวนาด้วยแนวคิดเรื่องกลุ่มทางสังคม ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาตามแบบที่เคยทำมาในสังคมชนเผ่า อย่างไรก็ตาม การแยกตัวอย่างโดดเดี่ยวของสังคมชาวนามีลักษณะที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่ สังคมชาวนาดำรงอยู่ในวงล้อมของอารยธรรมที่ใหญ่กว่า และถูกปกครองจากรัฐที่มีอำนาจเหนือกว่า ต่างไปจากสังคมชนเผ่า อัลเฟร็ด โครเบอร์กล่าวว่าสังคมชาวนา เป็นส่วนประกอบของสังคมและวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่า ไม่มีอิสระ ไม่มีอำนาจทางการเมืองของตัวเอง ยังชีพด้วยการเพาะปลูก หน่วยทางสังคมของท้องถิ่นยึดถือจารีตประเพณี และใช้การทำงานในภาคเกษตรเป็นบรรทัดฐาน
ประเด็นที่นักมานุษยวิทยาสนใจคือเรื่องการปกครองตัวเองของสังคมชาวนา กล่าวคือชุมชนชาวนา เป็นชุมชนที่เผชิญหน้ากับการท้าทายระหว่างจารีตประเพณี และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่มาจากภายนอก โดยเฉพาะสังคมเมือง โรเบิร์ต เรดฟีลด์เรียกสังคมชาวนาว่าวัฒนธรรมพื้นบ้าน หรือ folk culture
สังคมชาวนาถูกนิยามว่ามีแบบแผนทางเศรษฐกิจของตัวเอง เรมอนด์ เฟิร์ธอธิบายว่าสังคมชาวนาเปรียบเสมือนสังคมของผู้ที่เพาะปลูกเพื่อเลี้ยงชีพ เป็นกลุ่มการผลิตขนาดเล็ก อาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีง่ายๆ แต่ คำอธิบายของเฟิร์ธมีข้อด้อยเนื่องจากเข้าใจผิดว่าชนเผ่ามีการทำมาหากินต่างจากชาวนาที่อยู่ในสังคมแบบรัฐ ในสังคมประเภทกลุ่มเร่ร่อนและเผ่า ผลผลิตส่วนเกินจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่ม และสมาชิกของกลุ่ม ส่วนสังคมชาวนา ส่วนเกินจากการผลิตจะถูกส่งไปให้ชนชั้นปกครองที่มีอำนาจ อาจกล่าวได้ว่าการทำมาหากินในสังคมชนเผ่า บุคคลจะเข้าถึงทรัพยากรได้โดยตรง ขณะที่สังคมชาวนาต้องแบ่งปันผลผลิตส่วนหนึ่งให้กับผู้ปกครอง เช่น การจ่ายค่าเช่าที่ดินทำกิน ครัวเรือนของชาวนาจึงเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าและผู้ที่เป็นแรงงาน ภายใต้ระบบช่วงชั้นทางสังคมซึ่งเข้ามาจัดการทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์
นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซีย เอ วี เชยานอฟ กล่าวว่าระบบเศรษฐกิจและการผลิตของสังคมชาวนาต่างจากระบบทุนนิยมและสังคมนิยม กล่าวคือในสังคมชาวนา หน่วยการผลิตและบริโภคคือครัวเรือน ดังนั้นความอยู่รอดทางเศรษฐกิจจึงมิได้อยู่ที่ผลกำไรและเงินตรา แต่อยู่ที่การทำให้สมาชิกในครัวเรือนมีชีวิตรอด ลักษณะดังกล่าวนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาและปรับเปลี่ยนสังคมชาวนา สังคมชาวนาอาจเป็นรูปแบบการดำรงชีพที่มีลักษณะที่ต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม ตัวอย่างสังคมชาวนาที่มีการใช้เงินตราภายใต้ระบบการตลาดและพรมแดนรัฐชาติ จะมีประเด็นเกี่ยวกับการถือครองที่ดิน การส่งบรรณาการให้กับผู้ปกครอง เช่น ภาษี ค่าเช่า แรงงาน และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างชาวนารวยและชาวนายากจน ซึ่งไม่มีที่ดิน เป็นต้น
การนำแนวคิดเรื่องสังคมชาวนาไปใช้มีหลายลักษณะ ตัวอย่างเช่นการศึกษาของอีริค วูลฟ์ได้แยกความแตกต่างระหว่างชุมชนชาวนาที่ต่างคนต่างอยู่ กับชุมชนที่มีการร่วมมือกันซึ่งเกิดขึ้นในเขตที่ราบสูงของลาตินอเมริกา ชุมชนสองแบบนี้มีการถือครองที่ดิน และการปลูกพืชที่ต่างกัน พอล ฟรีดริชวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและระบบการเมืองในชนเผ่ามิโชกัน ในเม็กซิโก การศึกษานี้เป็นการอธิบายบริบททางประวัติศาสตร์ในสังคมชาวนา การศึกษาของเพ็กกี้ บาร์เล็ตต์เป็นการศึกษากลวิธีการปรับตัว และการตัดสินใจของสังคมชาวนาซึ่งได้นำทฤษฎีหลายอย่างมาใช้ เช่น นิเวศวัฒนธรรม การปรับตัว และการวิเคราะห์เศรษฐกิจระบบจุลภาค
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Bryceson, Deborah, Cristóbal Kay, and Jos Mooij, eds. 2000. Disappearing Peasantries?: Land and Labour in Africa, Asia and Latin America. London: Immediate Technology Publications
Dalton, George. 1972. “Peasantries in Anthropology and History.” Current Anthropology 13, no. 3–4: 385–407, 411–415.
Michael Kearney. 1996. Reconceptualizing the Peasantry: Anthropology in Global Perspective. Boulder, CO: Westview Press.
Robert H.Winthrop. 1991 Dictionary of Concepts in Cultural Anthropology. Greenwood Press, New York. Pp.210-212.
Silverman, Sydel. 1979. “The Peasant Concept in Anthropology.” Journal of Peasant Studies 7, no. 1: 49–69.
หัวเรื่องอิสระ: สังคมชาวนา