Ritual
พิธีกรรม คือ การแสดงออกทางสังคมที่ถูกจัดระเบียบอย่างมีแบบแผนและมีความหมาย มีการกำหนดกฎเกณฑ์ และขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน เพื่อใช้แสดงออกถึงความคิด พิธีกรรมเป็นเรื่องทางสังคม มิใช่เรื่องส่วนตัวของคนใดคนหนึ่ง พิธีกรรมจะช่วยบอกเล่าว่าสังคมควรจะเป็นอย่างไร และคนในสังคมจะประพฤติตัวอย่างไร ในความหมายกว้าง พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อจะมีการเล่าถึงตำนาน ถ้าเกี่ยวกับข้อห้ามจะเป็นเรื่องของการมีกฎบังคับ เอ็ดมันด์ ลีช อธิบายว่าพิธีกรรมคือภาพสะท้อนชีวิตทางสังคม เป็นวิธีการสื่อสารและภาพสะท้อนของการกระทำต่างๆในสังคม ซึ่งทำให้บุคคลมีสถานะและบทบาทที่ชัดเจน เอส พี นาเกนดรา กล่าวว่าพิธีกรรมคือการกระทำเชิงสัญลักษณ์ซึ่งอยู่นอกเหนือเรื่องราวในชีวิตประจำวัน
ปีเตอร์ ลอมบาร์ด นักศาสนวิทยาในยุคกลางอธิบายว่าความศักดิ์สิทธิ์ คือสัญลักษณ์ที่มีอยู่ในวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ และมองเห็นได้ด้วยการสวดมนต์ มาร์ติน ลูเธอร์ อธิบายว่าความศรัทธาและความศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ในคำอธิบายเชิงจิตวิทยาเชื่อว่าศรัทธาเป็นเรื่องของจิตใจที่บุคคลยอมอุทิศตนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยการกระทำและสัญลักษณ์โดยผ่านพิธีกรรมทางศาสนา คู่ตรงข้ามระหว่างความเชื่อและการปฏิบัติ หรือ ประสบการณ์ทางจิตกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอก นำไปสู่การศึกษาพิธีกรรมที่โน้มเอียงไปสู่เรื่องการแบ่งแยกคู่ตรงข้ามนี้ในเวลาต่อมา
นักมานุษยวิทยาอธิบายความหมายของพิธีกรรมแตกต่างกันไปตามกรอบความคิดทฤษฎี เช่น การเล่ารายละเอียดของพิธีกรรมเป็นข้อมูลพื้นฐานของสังคมนั้น พิธีกรรมเป็นภาพสะท้อนความคิดของสังคมที่ล้าหลัง พิธีกรรมเป็นเครื่องมือทางสังคมเพื่อทำให้สมาชิกรักใคร่กลมเกลียวกัน และพิธีกรรมอาจเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความเข้าใจสัญลักษณ์ทางสังคม
ในทศวรรษที่ 1930 การศึกษาทางมานุษยวิทยาในอเมริกาให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลภาคสนามในชุมชนต่างๆ นักมานุษยวิทยาคิดว่าพิธีกรรมคือแหล่งข้อมูลที่จะช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม โดยใช้แนวคิดเรื่อง “การแพร่กระจาย” และ “การอพยพ” มาอธิบายความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเป็นการศึกษาในชุมชนพื้นเมืองอินเดียน ตัวอย่างเช่น การศึกษาของฟรานซ์ โบแอซ ได้เปรียบเทียบพิธีกรรมของชนเผ่าต่างๆในเขตชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา การศึกษารายละเอียดของพิธีกรรม ทำให้เห็นภาพวัฒนธรรมที่คล้ายๆกัน เช่น การเต้นรำวิญญาณ การเต้นรำพระอาทิตย์
นักมานุษยวิทยาค้นพบข้อแตกต่างระหว่างพิธีกรรมกับการทำงาน โดยพยายามวิเคราะห์ด้วยทฤษฎี เช่นเรื่องระบบเหตุผล มีการอธิบายว่าพิธีกรรมคือการกระทำที่ไม่มีเหตุผล ความคิดนี้เกิดขึ้นจากแนวทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยวิคตอเรีย ซึ่งนักมานุษยวิทยานำมาใช้อธิบายความแตกต่างทางวัฒนธรรม พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกอธิบายว่าเป็นผลมาจากการใช้สติปัญญา
พิธีกรรมถูกเชื่อว่าเป็นผลผลิตของชีวิตทางสังคม มิใช่เป็นความโง่เขลา การศึกษาพิธีกรรมต้องเข้าใจแบบแผนของความสัมพันธ์และความคิดที่เชื่อมโยงสมาชิกในสังคมให้อยู่ด้วยกันได้ นักศาสนวิทยาชื่อ โรเบิร์ตสัน สมิธเป็นผู้นำในการอธิบายพิธีกรรมในความหมายนี้ โดยทำการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของชาวเซเมติกในยุคโบราณ และพบว่าพิธีกรรมช่วยให้สมาชิกในสังคมกลมเกลียวกัน แนวคิดของสมิธช่วยให้เกิดความเข้าใจพิธีกรรมและศาสนาในมิติทางสังคม เดอร์ไคม์ เชื่อว่าสังคมดำรงอยู่ได้ด้วยพิธีกรรม ความเชื่อในสังคมจะถูกแสดงออกมาในช่วงเวลาต่างๆโดยผ่านเรื่องราวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นศีลธรรม พิธีกรรมจึงเป็นการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ของสังคม
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Alexander, Jeffrey C., Bernhard Giesen, and Jason L. Mast 2006 Social performance: symbolic action, cultural pragmatics, and ritual. Cambridge: Cambridge University Press.
Bell, Catherine M. 1992 Ritual theory, ritual practice. Oxford: Oxford University Press.
Kertzer, David I. 1988 Ritual, politics, and power. New Haven: Yale University Press.
Robert H. Winthrop. 1991. Dictionary of Concepts in Cultural Anthropology. Greenwood Press, New York. Pp.245-249.
หัวเรื่องอิสระ: พิธีกรรม