Sexual Behavior
นักมานุษยวิทยาแนววิวัฒนาการในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ลิวอิส เฮนรี มอร์แกน, เอ็ดเวิร์ด ไทเลอร์ เชื่อว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นยุคที่มนุษย์ส่ำส่อนทางเพศ ซัลวาทอร์ คุชเชียรี กล่าวว่ามนุษย์ยุคแรกๆอาศัยรวมกันแบบฝูงสัตว์ และจับคู่สมสู่กันไม่เลือกหน้า มนุษย์มีเพศสัมพันธ์ได้ทั้งหญิงและชาย แต่นักมานุษยวิทยาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยังคงสงสัยข้อสังเกตของคุชเชียรี แต่เห็นด้วยในประเด็นที่ว่ามนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์มีพัฒนาการปรับตัวในพฤติกรรมทางเพศ และทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ประเภทไพรเมท การร่วมรักทางด้านหน้าสัมพันธ์กับการยืนตัวตรงและการเดินสองขา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ เพศหญิงจะพร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดปี
เมื่อผู้หญิงสืบพันธุ์ได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดผลกระทบครั้งสำคัญต่อมนุษย์ในการจัดระเบียบสังคม โดยเฉพาะการแบ่งอาหารและการจับคู่ แต่ประเด็นนี้ยังไม่มีการศึกษามากนัก มาเรียม เค สเลเตอร์ อธิบายว่าผลกระทบนั้นยิ่งใหญ่มาก เมื่อเปรียบเทียบสัตว์ไพรเมทอื่นๆ เพศผู้จะเกิดความรู้สึกทางเพศก็ต่อเมื่อเพศเมียส่งสัญญาณเตือน เช่น เปลี่ยนสีผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ หรือปล่อยสารกระตุ้นฟรีโรโมนส์ พฤติกรรมทางเพศของไพรเมท ตัวผู้จะมีความต้องการทางเพศเฉพาะในกรณีที่ตัวเมียกระตุ้นเร้า ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ สเลเตอร์กล่าวว่ามนุษย์ไม่มีมีความต้องการทางเพศกับเพศตรงข้ามเพียงอย่างเดียว เพศชายอาจมีความต้องการทางเพศกับเพศเดียวกัน หรือชอบความรุนแรง ซึ่งไม่พบในสัตว์ไพรเมท
มานุษยวิทยาแนวมาร์กซิสต์ ยอมรับแนวคิดของมอร์แกนที่ว่ามนุษย์ยุคแรกมั่วสุมทางเพศ เช่นเดียวกับเรดคลิฟฟ์ บราวน์ และฟรานซ์ โบแอส ซึ่งไม่ได้สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ นักมานุษยวิทยาผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้คือมาลีนอว์สกี้ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ ในเรื่อง Sexual Life of Savage in Northwestern Melanesian (1929) ในปี ค.ศ. 1951 มีการศึกษาของนักมานุษยวิทยาเรื่อง Patterns of Sexual Behavior โดยเคลลัน เอส ฟอร์ด ร่วมกับนักจิตวิทยาชื่อแฟรง เอ บีช หนังสือของฟอร์ดและบีช เป็นการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่เกี่ยวกับเรื่องเพศที่น่าสนใจ การศึกษานี้ใช้วิธีหาความสัมพันธ์ของมนุษย์บนพื้นที่ (Human Relation Area Files) ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเพศของมนุษย์ในสังคมมากกว่า 20 แห่ง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวยังมีเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ในยุคอาณานิคม นักเดินทาง และมิชชันนารี นักมานุษยวิทยาบางคนอธิบายว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องการจัดระเบียบทางสังคม เช่นมีการห้าม และการลงโทษถ้าหากมีการล่วงเกินทางเพศ มีพิธีกรรมเพื่อย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ข้อมูลในการศึกษาดังกล่าวจึงเป็นเชิงปริมาณ
เมื่อนักมานุษยวิทยาศึกษาเรื่องเพศ มักจะสนใจในเรื่องระเบียบที่เกิดขึ้น มากกว่าที่จะศึกษาพฤติกรรม สิ่งสำคัญคือมักจะอธิบายเรื่องเพศเป็นไปในลักษณะอุดมคติมากกว่าอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา มีการศึกษา 2 แนวคือ การศึกษาด้านสังคมวิทยา และการศึกษาแนวสังคม สังคมวิทยาพยายามอธิบายแบบแผนพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์แบบรวมๆ โดยเฉพาะเรื่องการสืบพันธุ์ที่เกี่ยวกับชีววิทยา ส่วนการศึกษาแนวสังคมไม่เชื่อเรื่องชีววิทยา และจิตวิทยา แนวสังคมจะเชื่อในความแตกต่างหลากหลายของพฤติกรรมทางเพศในเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันนักมานุษยวิทยาไม่สนใจประเด็นเรื่องเพศในฐานะที่เป็นแบบแผน
ข้อแนะนำและวิธีการกระทำทางเพศปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวอินเดียและจีน เช่น ในกามสูตร และเรื่อง Art of the Bedchamber ในราชวงศ์ฮั่น อย่างไรก็ตามคำอธิบายเรื่องเพศต่างกัน และมีคำเรียกท่าทางต่างกันในแต่ละสังคม นักวิจัยระยะแรกไม่ค่อยสนใจเรื่องศัพท์ทางเพศเท่าใดนัก เช่น คำว่า ipsation มักจะเชื่อว่าหมายถึงการสำเร็จความใคร่ และเชื่อว่าการปฏิเสธตัวเองเป็นเรื่องทางศีลธรรมมากกว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ คำว่า sodomy ยังไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนนอกจากพูดถึงในเรื่องกฎหมาย เพราะคำๆนี้ใช้อธิบายการกระทำหลายแบบ เช่น การสอดใส่อวัยวะเพศทางทวารหนัก การใช้ปากกับอวัยวะเพศ และการร่วมเพศกับสัตว์ เป็นต้น
การร่วมเพศระหว่างชายหญิงในสังคมต่างๆ เป็นการกระทำระหว่างคนสองคน ส่วนมากผู้ชายอยู่ด้านบน หรือในตำแหน่งเหนือท้อง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มิชชันนารีใช้ ชาวคริสต์เชื่อว่าการร่วมเพศแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีงาม รูปแบบการร่วมเพศของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแตกต่างกัน ตัวผู้มักจะขึ้นคร่อมตัวเมียทางด้านหลัง ในบางสังคมมนุษย์อาจนิยมร่วมเพศจากข้างหลัง สิ่งนี้มิใช่เรื่องของรสนิยมหากแต่เป็นเรื่องของการแสดงความสุภาพ ในสังคมล่าสัตว์หลายแห่ง เช่น ชาวบุชแมนในแอฟริกาใต้ และอินเดียนบางเผ่าในอเมริกาใต้ เช่นเผ่า อะปีนาเย่ และนัมบิกวาร่า ชนเผ่าเหล่านี้ร่วมเพศด้านหลัง
นักทฤษฎีบางคนโต้แย้งว่า ตำแหน่งท่าร่วมเพศของมนุษย์ในยุคก่อนประติศาสตร์ หรือยุคประวัติศาสตร์ผู้หญิงมักจะอยู่ด้านบน เช่นภาพเขียนในสมัยกรีก ซึ่งก่อให้เกิดการตีความว่าเป็นสังคมที่ผู้หญิงถูกควบคุม ในสมัยอียิปต์โบราณพูดถึงการร่วมเพศแบบเดียวกันนี้ เช่นในภาพเขียนมีการแสดงภาพเทพธิดาแห่งท้องฟ้าลอยอยู่เหนือผู้ที่เป็นสามีซึ่งเป็นเพทแห่งพิภพ จากบันทึกของชาวอียิปต์เป็นที่เข้าใจว่าการร่วมเพศโดยให้สตรีอยู่ด้านบนเป็นเรื่องปกติวิสัย และท่านี้ก็เป็นท่าร่วมเพศแบบที่สองในสังคมบางแห่ง
ในคำอธิบายของมาลีนอว์สกี้เกี่ยวกับท่าร่วมเพศของชาวทรอเบียน กล่าวว่าชาวทรอเบียนไม่ร่วมเพศแบบมิชชันนารี เพราะรู้สึกอึดอัด และไม่เป็นธรรมชาติ ท่าของชาวทรอเบียนรู้จักในนาม Oceanic Position ซึ่งเป็นท่าร่วมเพศที่พบทั่วไปในวัฒนธรรมชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ในชนเผ่าคาราจาในอเมริกาใต้ ในชนเผ่าทัลเลนซีในแอฟริกา และชนเผ่าเล็พชาในอินเดีย ท่าร่วมเพศของชนเผ่า ผู้ชายจะคุกเข่าอยู่ตรงกลางระหว่างขาของผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่บนสะโพกของผู้ชาย
การร่วมเพศแบบหันหน้าเข้าข้างกันพบได้หลายวัฒนธรรม เพราะเป็นท่าที่นิยม ในสังคมแอฟริกา การร่วมเพศด้านข้างพบได้ทั่วไป ผู้ชายจะนอนตะแคง ไหล่ขวาแนบกับพื้น มือซ้ายจะใช้จัดท่าทางเวลาร่วมเพศ ในสังคมบางแห่งที่นิยมร่วมเพศด้านหลังอาจมีการใช้ท่าด้านข้างประกอบด้วย การร่วมเพศในท่านั่งพบได้ในภาพเขียนของจีน การร่วมเพศในท่ายืนพบในรูปปั้นของวัดชาวฮินดู เช่นที่ Khajurahoo การ่วมเพศดังกล่าวนี้เป็นคำแนะนำของศิลปินที่ออกแบบท่าต่างๆซึ่งอาจไม่ใช้การกระทำจริงๆ ในชนเผ่าอินเดียนในอเมริกาใต้บางแห่งอาจมีการร่วมเพศในแปลญวน
การร่วมเพศภายนอก อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่ต้องการตั้งครรภ์ซึ่งนิยมในหมู่ชาวตะวันตก และในกรณีที่คู่หนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงาน เช่น ในเผ่าซูลู เผ่าคิคูยู และเผ่าลูโอในแอฟริกา การร่วมเพศภายนอก ฝ่ายชายจะใช้ลึงค์ถูไถ่ไปบริเวณขาอ่อน หรือท้องของผู้หญิง นอกจากนั้นอาจมีการสอดใส่อวัยวะเพศชายเข้าไปในช่องตามร่างกายซึ่งมิใช่อวัยวะเพศ การร่วมเพศแบบนี้พบในชนเผ่า Mangaians ในโพลิเนเซีย และชาวญี่ปุ่นที่นิยมสอดใส่อวัยวะเพศไปที่ช่องแขน ระหว่างทรวงอก และช่องระหว่างขา
การจูบพบได้ในหลายวัฒนธรรม แต่บางแห่งก็ไม่มีการจูบ เช่น ในชนเผ่าซิริโอโน่ ในอเมริกาใต้ ชาวโซมาลีในแอฟริกาตะวันออก และชาวเล็พชาในอินเดีย การร่วมเพศอาจใช้ปาก การศึกษาของโดนัล ทูซินเก็บรวบรวมประวัติทางเพศของชาวอิลาไฮตา ในปาปัวนิวกินี และพบว่าผู้ชายนิยมให้ผู้หญิงใช้ปากเวลาร่วมรัก เพราะผู้ชายมีความเชื่อว่าประจำเดือนของสตรีน่ากลัวจึงไม่สอดใส่อวัยวะเพศ การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองทั้งหญิงและชาย มักจะเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น แต่ชาวยิวที่เคร่งศาสนาคิดว่าการสำเร็จความใคร่ของผู้ชายเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นเดียวกับการก่ออาชญากรรม หรืออาจทำให้ถึงแก่ความตาย
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Edgar A.Gregersen ใน David Levinson and Melvin Ember (eds.)1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company. New York. Pp.1161-1164.
King, B. 2009. Human Sexuality Today (Sixth ed.). Upper Saddle River: Pearson Education, Inc.
Roughgarden, Joan 2004. Diversity, Gender, and Sexuality in Nature and People. University of California Press.
Ryan, Christopher & Jetha, Cacilda, 2010. Sex at Dawn: The Prehistoric Origins of Modern Sexuality. New York: Harper.
หัวเรื่องอิสระ: พฤติกรรมทางเพศ