Built Environment
การศึกษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการปรับสภาพแวดล้อมของมนุษย์ ในทางมานุษยวิทยามีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจระบบความคิด ความเชื่อ ความหมาย ที่มนุษย์มีต่อสิ่งปลูกสร้างในสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น การสร้างที่อยู่อาศัยที่มีการแยกบิเวณส่วนของหญิงชาย พื้นที่ส่วนส่วนตัวกับสาธารณะ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์กับพื้นที่กิจวัตรประจำวัน เป็นต้น ออตโต้ บอลล์นาว (1963) กล่าวว่าวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับการใช้พื้นที่ของมนุษย์ หรือพื้นที่ทางกายภาพที่มนุษย์ดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัยคือการสร้างความหมายให้กับสภาพแวดล้อม
การศึกษาเรื่องการดัดแปลงสภาพแวดล้อมของมนุษย์ เป็นการศึกษาว่าสภาพแวดล้อม และสถาปัตยกรรมของมนุษย์มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมอย่างไร และพฤติกรรมของมนุษย์มีผลต่อรูปแบบสถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมอย่างไร เป้าหมายของการศึกษาพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม คือการนิยามรูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม และเปรียบเทียบรูปแบบนี้ในวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อดูว่ามนุษย์มีการใช้พื้นที่เหมือนและต่างกันอย่างไรบ้างการศึกษาของนักมานุษยวิทยา ชื่อ เอ็ดเวิร์ด ที ฮอลล์ (1966) เรื่องความคล้ายคลึงกัน ฮอลล์อธิบายว่าสิ่งปลูกสร้างในวัฒนธรรมต่างๆเกิดขึ้นมารองรับกิจกรรมของมนุษย์ สิ่งปลูกสร้างจึงเป็นผลมาจากการทำกิจกรรม การใช้พื้นที่จึงถูกกำหนดอย่างตายตัวว่าพื้นที่ไหนจะใช้ทำอะไร
นักมานุษยวิทยาคนสำคัญที่ศึกษาการปรับสภาพแวดล้อมของมนุษย์ แรพโพพอร์ต ซึ่งเขียนหนังสือ The Meaning of the Built Environment(1990) แรพโพพอร์ตอธิบายว่า วัฒนธรรมคือปัจจัยสำคัญในการอธิบายความเหมือนและความแตกต่างสำหรับการสร้างสิ่งปลูกสร้างในแต่ละพื้นที่ แรพโพพอร์ตพยายามสืบหาว่าสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์เป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง ตัวอย่างเช่น อาคารสถานที่เป็นที่เก็บสะสมความทรงจำ สิ่งปลูกสร้างอาจช่วยการมนุษย์ปรับตัวทางสังคมและวัฒนธรรม ช่วยบ่งบอกอำนาจและสถานะทางสังคมของบุคคล ช่วยในการติดต่อสื่อสารในเชิงสัญลักษณ์ ที่สัมพันธ์กับบุคคล สังคม และวัฒนธรรม
การศึกษาของเจมส์ เอส ดันแคน (1982) อธิบายว่ากระบวนการเปลี่ยนไปสู่ความทันสมัยเปรียบเสมือนแหล่งกำเนิดของการเปลี่ยนวิธีการสื่อสารโดยอาศัยสิ่งปลูกสร้างเป็นสื่อ ดันแคนชี้ให้เห็นว่าอัตลักษณ์ของกลุ่ม สามารถแสดงออกผ่านอาคารบ้านเรือนซึ่ง รูปแบบทางสถาปัตยกรรมจะแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ เช่นสิ่งปลูกสร้างในสังคมชนเผ่า ดันแคนกล่าวว่าการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์จะค่อยๆหดหายไปเมื่อความทันสมัยเข้ามาแทนที่ เนื่องจากสังคมให้ความสำคัญกับปัจเจกบุคคลแทนชุมชน สิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่จะให้ความสำคัญกับฐานะส่วนตัว ดันแคนได้แยกประเภทสิ่งปลูกสร้างออกเป็นสองลักษณะ คือ สิ่งปลูกสร้างที่แสดงออกในเชิงความหมายและสัญลักษณ์ กับสิ่งปลูกสร้างที่บ่งบอกสถานะส่วนบุคคล ประเด็นดังกล่าวนี้เป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบสถาปัตยกรรมในวัฒนธรรมต่างๆ
ดันแคนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุที่ใช้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ริชาร์ด อี แบลนตัน(1994) ศึกษาบ้านและที่อยู่อาศัยของชาวนา และพบว่าการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจบนสิ่งปลูกสร้างมีความหลากหลายในระดับที่ต่างกัน แบลนตันเชื่อว่าสิ่งที่จะช่วยให้เข้าใจความหมายของสิ่งปลูกสร้างที่เป็นของส่วนรวมและส่วนตัวก็คือการเงื่อนไขของการปรับเปลี่ยนไปสู่ความทันสมัย
นักออกแบบและสถาปนิกจำนวนมากต่างสนใจเรื่องการพัฒนามาตรฐานของการสร้างอาคารบ้านเรือน โดยเฉพาะในประเทศที่ด้อยพัฒนา การศึกษาของแรพโพพอร์ตเป็นการนำความรู้จากศาสตร์ต่างๆมาผสมกัน ทั้งมานุษยวิทยา ภูมิศาสตร์ และคติชนวิทยาเพื่อที่จะอธิบายความแตกต่างหลากหลายของรูปแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่นในดินแดนต่างๆ การศึกษาของแรพโพพอร์ตมักจะอธิบายให้เห็นลักษณะอาคารบ้านเรือนที่ออกแบบเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้เข้าใจเป้าหมายของการออกแบบที่เป็นการใช้สิ่งปลูกสร้างเพื่อสื่อสารความหมายบางอย่างในวัฒนธรรมนั้น ดังนั้นการศึกษาในแนวนี้จำเป็นต้องอาศัยวิธีการเก็บข้อมูลในพื้นที่อย่างเข้มข้น แต่การศึกษาดังกล่าวนี้เกิดขึ้นโดยนักวิชาการตะวันตกที่ต้องการเก็บข้อมูลรูปแบบทางสถาปัตยกรรมในแต่ละวัฒนธรรมเป็นสำคัญ
ความแตกต่างหลากหลายในรูปแบบสถาปัตยกรรมในวัฒนธรรมต่างๆมีอยู่มากมาย รูปแบบที่ต่างกันนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะทางสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาให้ความสนใจมาตั้งแต่แรก เช่นการศึกษาของ ลิวอิส เฮนรี มอร์แกน เรื่อง Houses and House-Life of American Aborigines (1881) หลังจากการศึกษาของมอร์แกนเป็นต้นมา นักมานุษยวิทยาก็เริ่มศึกษาปัจจัยต่างๆที่สัมพันธ์กับสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์โดยการเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างทางสังคมวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู๋ในครัวเรือนที่มีผลต่อรูปแบบสถาปัตย์ เช่น ขนาดของครัวเรือน และความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย
แต่การอธิบายลักษณะครัวเรือนโดยดูจากตัวอาคารและสิ่งก่อสร้างอาจมีปัญหา สิ่งที่ทำได้ก็คือการอธิบายลักษณะการอยู่อาศัยที่เกิดขึ้นในสิ่งปลูกสร้างนั้น รูปแบบของอาคารอาจทำให้เข้าใจการใช้พื้นที่ของชุมชนและครัวเรือนในแต่ละวัฒนธรรม นอกจากนักมานุษยวิทยาแล้วยังมีนักโบราณคดีที่สนใจเรื่องสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ในอดีต นักโบราณคดีศึกษาหน้าที่และการใช้งานของสิ่งปลูกสร้างที่สัมพันธ์กับครัวเรือนและชุมชน เช่น การตรวจวัดขนาดและความหนาแน่นของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของสิ่งปลูกสร้าง ลักษณะการใช้พื้นที่ในแบบต่างๆ การแบ่งพื้นที่ในบ้านที่สัมพันธ์กับระบบเครือญาติ การแสดงออกทางฐานะทางเศรษฐกิจที่ปรากฏอยู่ในสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น นักโบราณคดีที่สนใจศึกษาในประเด็นเหล่านี้ เช่น แครอล เครเมอร์(1982)
นักมานุษยวิทยาเชื่อว่าสภาพแวดล้อมคือปัจจัยสำคัญในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ในปัจจุบันนี้การศึกษาตีความระบบสัญลักษณ์คือประเด็นหลักที่นักมานุษยวิทยาใช้ศึกษาสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ มานูเอล คาสเทลส์(1983) กล่าวว่าลักษณะการตั้งถิ่นฐานแบบเมืองเป็นผลมาจากผู้นำในการปกครอง ซึ่งพยายามพัฒนารูปแบบของเมืองตามความพอใจและผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนยากจนที่อาศัยอยู่ในเมืองด้วย นักวิชาการบางคนเชื่อว่ารูปแบบของสิ่งปลูกสร้างอาจจะมีมากกว่าความหมาย เช่น อาจมีระบบความเชื่อและความสัมพันธ์ที่มีต่อการกระทำในลักษณะต่างๆ การศึกษาของซูซาน เบลียร์(1987) ในสังคมของชาวบาทัมมาลิบาในประเทศโตโก้และเบนิน พบว่าบ้านของคนเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของระบบความคิดเกี่ยวกับจักรวาล บ้านจึงเป็นพื้นที่สำหรับการแสดงออกเชิงความคิด เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงความคิดมาสู่การปฏิบัติ และเป็นพื้นที่ของการสร้างระเบียบต่างๆ
อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาลักษณะสถาปัตยกรรมในมิติมานุษยวิทยามีประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัย การจัดระเบียบทางสังคม การสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ การตีความระบบความหมาย การแสดงออกทางพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับระบบการเมืองการปกครอง เป็นต้น การศึกษาสถาปัตยกรรมในทางมานุษยวิทยาจึงเป็นการทำความเข้าใจสังคม วัฒนธรรม และพฤติกรรมไปพร้อมๆกัน
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
David Levinson, Melvin Ember (eds.) 1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. Pp.81-83.
Denise L. Lawrence and Setha M. Low. 1990. The Built Environment and Spatial Form. Annual Review of Anthropology, Vol. 19: 453-505.
H. James Birx (ed.) 2006. “Architectural Anthropology” in Encyclopedia of Anthropology. London: Sage Publication.
หัวเรื่องอิสระ: การปรับสภาพแวดล้อมโดยมนุษย์