Ethnographic Film
ภาพยนตร์ทางชาติพันธุ์ (Ethnographic Film) หมายถึงการบันทึกเรื่องราวชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ ซึ่งนักมานุษยวิทยาใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาและการเก็บข้อมูลภาคสนาม ภาพยนตร์ทางชาติพันธุ์จึงมิใช่เรื่องแต่งหรือมีการเขียนบทเตรียมไว้ รวมทั้งมิใช่สารคดีที่นำเสนอเรื่องราวในเชิงสุนทรียะ ตัวอย่างเช่น การทำงานภาคสนามของนักมานุษยวิทยาอัลเฟร็ด คอร์ต เฮดดอน ในปี 1898 ที่เดินทางไปเก็บข้อมูลชีวิตชนพื้นเมืองในหมู่เกาะทอร์เรส สเตรทส์ ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย เขาได้ใช้กล้องภาพยนตร์บันทึกเรื่องราวทางสังคมของกลุ่มคนเหล่านี้
โซล เวิร์ธ(1961) ให้ความเห็นว่าภาพยนตร์แบบไหนก็เป็นงานทางมานุษยวิทยาได้ทั้งนั้น ถ้าหากนักมานุษยวิทยาสนใจที่จะอธิบายในแง่วัฒนธรรม แต่สิ่งที่นักมานุษยวิทยาให้ความสนใจก็คือภาพยนตร์ที่ถ่ายทำโดยนักมานุษยวิทยา ซึ่งถูกใช้เป็นสารคดีทางวัฒนธรรม เนื่องจากภาพยนตร์ที่ถ่ายทำโดยนักมานุษยวิทยาจะเปิดเผยให้เห็นความคิดของนักมานุษยวิทยาได้ แต่ปัญหาที่ตามมาคือภาพยนตร์หลายเรื่องถ่ายทำเรื่องราวของวัฒนธรรมอื่น โดยตัวภาพยนตร์อาจเป็นภาพสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของการสร้างภาพยนตร์ แต่ถ้าภาพยนตร์นั้นไม่มีบทและผู้กำกับการแสดงแล้ว ภาพยนตร์ก็อาจเป็นวิธีการแสดงออกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง
เมื่อมีการสร้างภาพยนตร์ครั้งแรกในช่วงปลายครสิต์ศตวรรษที่ 19 ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ใช้ภาพยนตร์บันทึกเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับชีวิตคนที่แตกต่างหลากหลาย ส่วนภาพยนตร์ในทางชาติพันธุ์อาจหมายถึงภาพยนตร์สารคดีที่นำเสนอเรื่องราวของผู้คนที่อาศัยอยู่นอกสังคมตะวันตก นักมานุษยวิทยาจึงมีหน้าที่สำคัญสองประการ คือ หนึ่ง ต้องถ่ายทำวิถีชีวิตของคนเหล่านั้นอย่างสดๆร้อนๆ โดยไม่มีบทภาพยนตร์ล่วงหน้า และสอง ต้องเลือกว่าจะทำให้ภาพยนตร์นี้ออกมาในลักษณะใดเพื่อทำให้คนดูเข้าใจเรื่องราวในภาพยนตร์นั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อนักสร้างภาพยนตร์ต่างทำงานในสังคมของตัวเองเพิ่มมากขึ้น ชนพื้นเมืองในโลกที่สามก็เริ่มรู้จักการใช้วีดีโอและภาพยนตร์มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการนิยามความหมายของภาพยนตร์ชาติพันธุ์ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ การหานิยามดังกล่าวช่วยให้เกิดความคิดที่ว่าการสร้าง การเผยแพร่ และการชมภาพยนตร์คือรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกทางวัฒนธรรมซึ่งควรจะได้รับการตรวจสอบ เพราะภาพยนตร์มิได้เป็นเพียงเครื่องมือในการนำเสนอเรื่องราวทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ภาพยนตร์ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมด้วย
ในช่วงทศวรรษที่ 1920-30 นักมานุษยวิทยาเริ่มใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อการสอน ตัวอย่างเช่น เรื่องหัตถรรม พิธีเฉลิมฉลอง หรือการเต้นรำ เกรกอรี เบทสัน และมาร์กาเร็ต มี้ด พยายามใช้ภาพยนตร์เป็นเครื่องทดลอง โดยบันทึกภาพชีวิตของชาวบาหลีเพื่อทำให้เข้าใจวัฒนธรรมเหล่านั้น ภาพยนตร์ของมี้ดและเบทสัน ได้แก่เรื่อง Karba’s First Year (1950) Childhood Rivalry in Bali and New Guinea(1952) และ Trance and Dance in Bali(1951) ภาพยนตร์ดังกล่าวมีบทบรรยายและบทวิเคราะห์อยู่ด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อนักมานุษยวิทยาเริ่มหลีกหนีไปจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ นักมานุษยวิทยารุ่นหลังก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ความจริง” ในภาพยนตร์มากขึ้น
ภาพยนตร์ทางชาติพันธุ์ในยุคแรกๆ เช่นเรื่อง Man with a Movie Camera (1929) ของ ดาซีก้า เวอร์ทอฟ เป็นการเสนอภาพสะท้อนความประทับใจของผู้สร้างภาพยนตร์ และมีการตั้งคำถามว่าภาพยนตร์จะนำเสนอความจริงทางสังคมได้หรือไม่ หรือถ้าภาพยนตร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างเรื่องราวของความจริงเหล่านั้น ภาพยนตร์ของบาซิล ไรท์ เรื่อง Song of Ceylon(1934) นำเสนอเรื่องราวจารีตประเพณี และศาสนาของชนพื้นเมืองควบคู่ไปกับเรื่องราวของลัทธิอาณานิคมราวกับเป็นบทกวี นักมานุษยวิทยาจำนวนมากยังคงถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องสุนทรียะในภาพยนตร์ว่าควรจะมีหรือไม่ เพราะการผู้สร้างภาพยนตร์มักจะให้ความสนใจทางสุนทรียะมากกว่าที่จะสะท้อนภาพวัฒนธรรมของชาวบ้าน ข้อโต้แย้งประการหนึ่งคือภาพยนตร์คือผลลัทธ์ทางวัฒนธรรมประเภทหนึ่ง
ภาพยนตร์ของหลุยส์ บันเนล เรื่อง Land Without Bread (1932) เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของความจริงที่มีคำบรรยายและเสียงดนตรีประกอบ ซึ่งช่วยให้ความจริงชัดเจนขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้คือตัวอย่างของการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจริง ในปี ค.ศ. 1953 จีน รูชได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Les Maitres Fous เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรมการถูกผีสิงในดินแดนแอฟริกาตะวันตก พิธีดังกล่าวนี้ชนพื้นเมืองสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโต้ลัทธิอาณานิคม และในปี ค.ศ.1957 รูชได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Moi un Noir ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคำบรรยาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้สร้างภาพยนตร์ และนักแสดงที่ต้องเล่นตามบทบาทที่ได้รับ
โรเบิร์ต การ์ดเนอร์ สร้างภาพยนตร์ของตัวเองเรื่อง Dead Birds ในปี ค.ศ.1963 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำสงครามของชนเผ่าดานี ในดินแดนนิวกินีตะวันตก ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของการ์ดเนอร์คือเรื่อง Deep Heart และ Forest of Bliss เป็นภาพยนตร์ที่ท้าทายความหมายและนิยามของภาพยนตร์ชาติพันธุ์ โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษาทางมานุษยวิทยากับงานศิลปะ การ์ดเนอร์ให้ความเห็นว่าการนำเสนอเรื่องราวด้วยสุนทรียะจะให้อารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ได้ดีกว่าการนำเสนอแบบวิชาการ
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 มาร์แชลได้สร้างภาพยนตร์ในแนวที่เขาเรียกว่า sequence films หรือ ภาพยนตร์ที่มีเหตุการณ์ต่างๆร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อ A Curing Ceremony ,A Joking Relationship, Argument About a Marriage และ The Meat Fight ภาพยนตร์สองเรื่องนี้เป็นรายละเอียดชีวิตของชาวจูโฮนซี เริ่มตั้งแต่ที่ชาวบ้านพบกับปัญหา มีการรวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหา และเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปหลังจากปัญหาจบสิ้นแล้ว เหตุการณ์ต่างๆถูกนำมาตัดต่อสั้นๆเพื่อใช้ในการเรียนการสอน นโปเลียน แช็คน่อน และ ทิโมธี เอช ร่วมกันสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชนเผ่ายาโนมาโมในภาคใต้ของเวเนซูเอล่า ตัวอย่างเช่น เรื่อง A Father Washes His Children, A Man and His Wife Weave a Hammock และ Yanomamo Myth of Naro ภาพยนตร์เหล่านี้ถ่ายทำแบบเหตุการณ์ต่อเนื่อง และนำมาตัดต่อให้สั้นเพื่อใช้ในการเรียน
เมื่อระบบเสียงในภาพยนตร์พัฒนาไปมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 ทำให้ภาพยนตร์ชาติพันธุ์ที่นำเสนอเหตุการณ์แบบต่อเนื่องมีความสมบูรณ์ เดวิด และจูดิธ แม็คดูกัลล์เดินทางไปอูกานดา และใช้วิธีบันทึกเสียงพูดของชนเผ่าจีในอูกานดา ในภาพยนตร์เรื่อง Nawi(1970) To Live with Herds(1973) และ Under the Men’s Tree(1974) ภาพยนตร์เหล่านี้มีเสียงพูดของชนเผ่าและคำแปลขึ้นบนหน้าจอ ภาพยนตร์ของแม็คดูกัลล์ไม่ได้สร้างเรื่องราวของชนเผ่าแบบละคร แต่นำเสนอชีวิตจริงของพวกเขา ภาพยนตร์ของแม็คดูกัลล์จะมีลักษณะเหมือนการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ โคลิน ยัง เรียกภาพยนตร์แนวนี้ว่า observational cinema หรือภาพยนตร์เฝ้าสังเกตการณ์
ลีเวลีน-เดวีส์ ถ่ายภาพยนตร์แบบเฝ้าสังเกตการณ์และใช้เสียงพูดของตัวเองในภาพยนตร์ เธอพูดกับชาวมาไซเพื่อแสดงความไว้วางใจและต้องการที่จะสื่อสารกับคนเหล่านั้น ภาพยนตร์ของลีเวลีน-เดวีส์ ได้แก่ เรื่อง The Woman’s Olamal(1984) และ Memory and Dream(1993) จอร์จ พรีโลแรน ใช้วิธีบันทึกภาพชีวิตของชาวอาร์เจนติน่า ทำให้เกิดภาพยนตร์อัตชีวประวัติของบุคคล พรีโลแรนยังสอนให้ชาวบ้านตัดต่อภาพยนตร์ชีวิตของตัวเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ Zulay Facing the 21st Century ซึ่งสร้างในปี ค.ศ.1991 พรีโลแรนและภรรยาของเขาทำงานร่วมกับซูเลย์ทั้งในประเทศเอกัวดอร์และลอสแองเจลีส วิธีการทำงานของจอร์จและภรรยากลายเป็นวิธีการใหม่ของการทำงานร่วมกันระหว่างชาวบ้านและนักมานุษยวิทยาซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลังยุคอาณานิคม
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 ผู้สร้างภาพยนตร์สนใจเรื่องการแสนอความจริงและผลกระทบของเทคโนโลยี ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ภาพยนตร์หลายเรื่องใช้วิธีการสำรวจตรวจสอบ สะท้อนความคิด และไม่มีการบรรยาย ในช่วงทศวรรษที่ 1980 มีการสำรวจเรื่องตัวตนของผู้สร้างภาพยนตร์และผู้ที่ถูกบันทึกในภาพยนตร์ ในทศวรรษที่ 1990 ภาพยนตร์มีการใช้เทคนิคผสมผสาน เพื่อแสดงให้เห็นความทรงจำ ประสบการณ์ ประวัติศาสตร์ ความฝันและความหมาย ประเด็นต่างๆเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญอยู่ในปัจจุบัน ผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งหลายต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทางจริยธรรมแตกต่างกันไป โดยเฉพาะเมื่อต้องนำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนอื่น
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Banks, Marcus; Morphy, Howard (ed.) 1997. Rethinking Visual Anthropology. New Haven und London: Yale University Press.
David Levinson and Melvin Ember (eds.) 1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. pp.411-415.
Grimshaw, Anna; Ravetz, Amanda 2009. Observational cinema. Anthropology, film, and the exploration of social life. Bloomington: Indiana University Press
Heider, Karl G. 2007. Ethnographic film. Austin: University of Texas Press
Pink, Sarah 2006. Working images. Visual research and representation in ethnography. London: Routledge
Ruby, Jay 2000. Picturing Culture. Explorations of Film and Anthropology. University of Chicago Press
หัวเรื่องอิสระ: ภาพยนตร์ทางชาติพันธุ์