Alcohol and Drugs
สารอัลกอฮอล์คือวัตถุทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะเพราะมีผลทางจิต ประสาท อารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้ ซึ่งมนุษย์ในหลายวัฒนธรรมรู้จักใช้สารชนิดนี้ในกิจกรรมและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ในอดีต มนุษย์ไม่ได้ใช้อัลกอฮอล์ที่เกิดจากการหมักดอง หรือสนุนไพรที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทเพื่อความบันเทิงเริงรมย์หรือการสังสรรค์ แต่ใช้ในพิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างหลักฐานทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่าเมล็ดพืชและใบไม้บางชนิดที่มีสารกล่อมประสาทจะถูกใช้ในพิธีศพ มนุษย์ในยุคหินใหม่มีฟันสีดำเนื่องจากการสูบพืชประเภทฝิ่น เป็นต้น การใช้ยาและอัลกอฮอล์อาจมีความหมายศักดิ์สิทธิ์ ความอันตราย ความขัดแย้ง ความสมบูรณ์ของสุขภาพ ความมีอิสระเสรี แรงบันดาลใจ หรือการตกเป็นทาส มนุษย์บางกลุ่มอาจต้องการใช้ยาแต่บางกลุ่มพยายามหลีกเลี่ยง
นักมานุษยวิทยาชื่อ ดไวท์ ฮีธ (2000) กล่าวว่าการดื่มสารประเภทอัลกอฮอล์ของมนุษย์เป็นกิจกรรมทางสังคมที่มีมิติทางวัฒนธรรมและทางชีววิทยาในเวลาเดียวกัน สารอัลกอฮอล์ที่ทำให้เกิดอาการมึนเมาจึงผนวกเรื่องราวทางสังคม อารมณ์ และร่างกายเข้าด้วยกัน หรือเรียกว่า biopsychosocial phenomenon นักมานุษยวิทยาสนใจเรื่องยาและอัลกอฮอล์ในประเด็นเกี่ยวกับการผลิตและการเผยแพร่ ระบบคุณค่า ทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา ผลกระทบที่มีต่อบุคคล และกลุ่มคน รวมถึงปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์และความจริงของการใช้ยา พฤติกรรมของการใช้ยาเกี่ยวข้องกับ เช่น เศรษฐกิจ พิธีกรรม การแพทย์ พฤติกรรม ศาสนา และระบบความเชื่อ การศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาต้องศึกษาอย่างรอบด้าน เนื่องจากยามีมิติทางชีววิทยาและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้ยาชนิดเดียวกันอาจมีวิธีการที่ต่างกัน และแบบแผนของการใช้ยาก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและผลที่คาดหวัง
การควบคุมการใช้ยาอาจมีทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ การใช้ยาและอัลกอฮอล์บางครั้งถูกนำไปรวมกับปัญหาบางอย่าง ซึ่งมีเงื่อนไขจากสภาพแวดล้อมทางสังคมและกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง พฤติกรรมของการติดยาไม่พบในสังคมระดับชนเผ่าหรือสังคมประเพณีขนาดเล็ก แต่ในสังคมที่มีการประกาศเตือนโทษของการใช้ยาและอัลกอฮอล์ก็ยังพบว่ามีผู้ติดยาอยู่
อัลกอฮอล์คือส่วนผสมทางเคมีที่เกิดจากการหมัก ชาวอียิปต์เชื่อว่าเทพเจ้าโอไซริสเป็นผู้นำเบียร์มามอบให้ชาวอียิปต์ ในหลายวัฒนธรรมเชื่อว่าอัลกอฮอล์เป็นของกำนัลจากพระเจ้า เทพเจ้าไดโอนิซุสเป็นผู้ที่ให้ไวน์แก่ชาวกรีก หลักฐานทางโบราณคเยุคแรกๆชี้ว่าเบียร์และไวน์เกิดขึ้นในดินแดนเมโซโปเตเมียเมื่อ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นยุคเดียวกับที่เริ่มมีการเกษตรกรรม และการทำขนมปัง การกลั่นเหล้าเกิดขึ้นมายุคหลังโดยชาวอาหรับ และแพร่หลายในโลกตะวันตกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12
ยาหลายชนิดมีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ยาสูบ เห็ด กาแฟ ชา ช็อคโคแล็ต ในเปรูเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาลพบหลักฐานการใช้ใบโคคาในมัมมี่ หลักฐานการใช้ยายังพบรูปวาดและภาพแกะสลักบนหินและ หม้อ ในเขตตะวันออกกลางพบหลักฐานแก้วและภาชนะสำหรับใส่อัลกอฮอล์และเครื่องดื่มจำนวนมาก วัฒนธรรมการผลิตและดื่มไวน์แพร่หลายมากในยุคโรมัน ในวัฒนธรรมอียิปต์ กษัตริย์จะมีการดื่มเบียร์ และเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้กับเทพเจ้า ชาวกรีกจะมีพิธีกรรมดื่มไวน์เพื่อบูชาเทพเจ้าไดโอนิซุส และชาวโรมันก็จะดื่มไวน์เพื่อบูชาเทพเจ้าแบคชุส ในยุคโลหะ กษัตริย์ของฝรั่งเศสจะมีการแจกจ่ายไวน์ให้ประชาชนเพื่อ แสดงความเป็นผู้นำ
สินค้าที่เป็นอัลกอฮอล์จะมีมูลค่ามาก อัลกอฮอล์เป็นเครื่องมือของลัทธิอาณานิคมในอเมริกาและแอฟริกา เมื่อชาวพื้นเมืองเริ่มดื่มอัลกอฮอล์ ทำให้ชนพ้นเมืองถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมา ในวัฒนธรรมมุสลิมไม่มีการดื่มอัลกอฮอล์ และในวัฒนธรรมแรงงาน นายจ้างจะห้ามไม่ให้ลูกจ้างดื่มอัลกอฮอล์ ถ้าฝ่าฝืนจะถือว่ามีพฤติกรรมที่ไม่ดี ในวัฒนธรรมจีนและอาหรับเชื่อว่าการดื่มและการเมาเป็นการแสวงหาความสนุกสนาน และความบันเทิงใจ แต่เมื่อศาสนาเข้ามาควบคุมทำให้ทัศนะต่อการดื่มเปลี่ยนแปลงไป ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประเทศสมัยใหม่ นิกายทางศาสนา การปกครองท้องถิ่น และวัฒนธรรมชนเผ่าในส่วนต่างๆของโลกต่างต่อต้านการดื่มอัลกอฮอล์ เพราะเชื่อว่าเป็นสาเหตุของความเสี่ยงและเกิดผลเสีย ถึงแม้ว่าประชากรบางกลุ่มยังคงดื่มอยู่ก็ตาม
ยาบางชนิดถูกใช้ในวัฒนธรรม เช่น ในวัฒนธรรมมายาและเอสเท็กมีการใช้โคคาและเห็ดที่มีฤทธ์กล่อมประสาทในพิธีกรรมต่างๆ โคคาคือพืชที่มีความสำคัญมากในเขตวัฒนธรรมแอนดีส เนื่องจากถูกใช้ในพิธีกรรม บวงสรวงเทพเจ้า และให้เป็นของกำนัลมายาวนานหลายร้อยปี ในวัฒนธรรมชนพื้นเมืองของออสเตรเลียก็มีการใช้ยาแบบง่ายๆ เช่น ใบจากต้นพิทูรี ซึ่งมีฤทธ์หลอนประสาทเช่นเดียวกับใบโคคาในวัฒนธรรมอินคา ฝิ่นเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายเมื่ออังกฤษนำออกมาจากอินเดียเพื่อไปแลกเปลี่ยนกับเงินในประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลจีนออกมาห้ามกับนำเข้าฝิ่นในเวลาต่อมา การค้าฝิ่นเชื่อมโยงกับดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเขตเมดิเตอร์เรเนียนมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกามีการใช้ฝิ่นและเฮโรอีนในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ศิลปิน คนเหล่านี้เชื่อว่าการสูบฝิ่นและเฮโรอีนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ นอกจากนั้นยังมีการใช้ฝิ่นในทางการแพทย์ ฝิ่นจึงถูกมองว่าเป็นทั้งยาเสพติดและยารักษาโรค
อย่างไรก็ตาม แรงงานอพยพชาวจีนที่มีการสูบฝิ่นจะถูกมองว่าเป็น “ภัยเหลือง” ในอเมริกาจึงมีนโยบายห้ามการสูบฝิ่น และมีการกีดกันเชื้อชาติ ยาบางชนิดเช่น ปิโยต์และแคคตีถูกนำไปใช้ในทางศาสนา พิธีกรรม และการรักษาโรค ปิโยต์นำมาจากเม็กซิโกและแพร่หลายในอเมริกา ชนพื้นเมืองในอเมริกาจะนำปิโยต์ไปใช้ในทางศาสนาเพื่อแสดงสภาวะศักดิ์สิทธิ์ ส่วนแคคตีนำไปใช้ในการรักษาโรค และในพิธีกรรม
กาแฟ มีต้นกำเนิดจากตะวันออกกลาง เป็นเครื่องดื่มที่แพร่หลาย แต่ในศตวรรษที่ 16 เคยถูกห้ามเพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มอันตราย และทำให้เกิดตื่นเต้นและกระตุ้นประสาท ช็อคโคแล็ตเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในเขตยุโรปตอนเหนือ แต่ก็ถูกห้ามเนื่องจากทางการออกมาประกาศว่าช็อคโกแล็ตเป็นเครื่องดื่มที่กระตุ้นกามารมณ์ ทำให้คนไร้ระเบียบ และสังคมจะเสื่อมทราม ชา ถูกใช้เป็นเครื่องหมายในการต่อต้านลัทธิอาณานิคมในหลายประเทศ แต่ในบางวัฒนธรรม เช่น ญี่ปุ่นและอังกฤษ ชาถูกใช้ในพิธีกรรมทางสังคมที่มีระเบียบแบบแผน เครื่องดื่มหลายชนิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับการมีน้ำตาล และระบบการค้าระหว่างประเทศ การค้าน้ำตาลยังมาพร้อมกับการโยกย้ายถิ่นของประชาการที่ตกเป็นแรงงานทาส เช่น ชาวแอฟริกา
ยาสูบ ถูกใช้เพื่อสูบและดม นิยมแพร่หลายในหมู่ชนพื้นเมืองของอเมริกัน และต่อมาชาวยุโรปก็นำไปปฏิบัติตาม กษัตริย์เจมส์ที่ 1 ของอังกฤษ เชื่อว่ายาสูบเป็นสิ่งน่ารังเกียจและออกมาห้ามการสูบ แต่ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของพระองค์แนะนำว่าภาษีจากการค้ายาสูบสร้างผลกำไรให้ประเทศมาก เหล้ารัมและยาสูบกลายเป็นสินค้าที่ชาวยุโรปเข้ามาหาประโยชน์ในประเทศโลกที่สาม นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา บุหรี่ก็กลายเป็นสินค้าที่แพร่หลาย ถึงแม้ว่าผลกระทบต่อการสูบยาจะมีต่อสุขภาพและประชาชนในสังคมอุตสาหกรรมก็รับรู้กันทั่วไป แต่ก็ยังมีการสูบ
การศึกษาความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่ออัลกอฮอล์ และยาสามารถเปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรมได้ สังคมต่างๆคิดว่ายาและอัลกอฮอล์สร้างปัญหาให้กับประชาชน ในสังคมอียิปต์ ไม่มีการยกย่องผู้ที่ดื่มเบียร์ แต่ในสังคมเขตซาฮาร่าหลายแห่ง มีการดื่มเครื่องดื่มที่ทำจากพืช เช่น ข้าวโพด เบียร์อาจเป็นอาหารชนิดหนึ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากการดื่มเบียร์คือการใช้เวลาพักผ่อนสำหรับผู้ชาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิและสถานะทางสังคม ผู้หญิงจะทำหน้าที่ผลิตและขายเบียร์เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเอง เมื่อเกิดข้อโต้แย้งหรือทะเลาะวิวาท การดื่มเบียร์อาจช่วยให้มีการปกปิดข้อมูล เบียร์ยังเป็นเครื่องดื่มสำหรับการติดต่อสื่อสารกับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วหรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในเขตเมือง โรงเบียร์เป็นสถานที่สำคัญในการชุมนุมทางสังคม มีการเปรียบเปรยว่ายิ่งผู้ชายนำเงินไปซื้อเบียร์เท่าใดก็ยิ่งทำให้รายได้ของผู้หญิงน้อยลงไปเท่านั้น การดื่มในวันสุดสัปดาห์หรือเทศกาล สำหรับผู้ชายวัยหนุ่มคือการใช้เวลาทบทวนตรึกตรองร่วมกับผู้ชายอาวุโส
แต่ในแอฟริกาไม่ค่อยมีการใช้ยาเพื่อกล่อมประสาท กาแฟและยาสูบเป็นสิ่งคุ้นเคย แต่ก็ไม่ถูกนำไปใช้ในพิธีกรรม ยกเว้นอัลกอฮอล์ ในลาตินอเมริกา เครื่องดื่มประจำบ้านคืออาหารหลักสำหรับคนทุกเพศทุกวัย และยังเป็นของเซ่นสังเวยที่มอบให้เทพเจ้าและวิญญาณบรรพบุรุษ เหล้ารัมถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องเซ่นสังเวยเทพเจ้าเช่นเดียวกัน ในวัฒนธรรมของชาวเกชัว ชาวทาราฮูมาร่า เป็นสังคมที่นิยมการดื่ม วิลเลียม เจมส์กล่าวว่าการเมาพบมากในกลุ่มผู้ชาย การรวมวงดื่มเหล้าอาจเป็นการสร้างสัมพันธ์ทางสังคม ในสังคมของชาวพูลเกและชิชา ผู้นำจะต้องได้รับการบริการเครื่องดื่ม
ในชนเผ่าลุ่มน้ำอะเมซอนมีการนำพืชท้องถิ่นมาสูดดมเพื่อรักษาโรค หมอผีจะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการผลิตยาต่างๆ เพื่อใช้สำหรับเวทมนต์คาถา กาแฟและยาสูบเป็นที่นิยมของชาวบ้านในลุ่มน้ำอะเมซอน ความรู้ทางยาของชนพื้นเมืองต่อมาถูกนำไปใช้ผลิตยาสำหรับบริษัทการค้า ซึ่งประเด็นนี้กลายเป็นที่ถกเถียงว่าสิทธิทางปัญญาของชนพื้นเมืองจะได้รับการคุ้มครองอย่างไร ใบโคคาที่ถูกนำมาผลิตเป็นโคเคนเพื่อขายในตลาดมีราคามหาศาล เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ชาวบ้านใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน การสูบยายังนำไปสู่สภาวะพิเศษเพื่อพบกับวิญญาณของสัตว์และอำนาจเหนือธรรมชาติทั้งหลาย
ชนเผ่าในเขตออสเตรเลียและมหาสมุทรแปซิฟิก ต้องการอัลกอฮล์จากชาวยุโรป ถึงแม้ว่านักบวชในนิกายโปรแตสแตนท์จะสั่งสอนให้ชนพื้นเมืองเลิกดื่ม แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่ติดการดื่ม ชนเผ่าในเขตที่สูงของนิวกินี หัวหน้าเผ่าจะต้องมีขวดเบียร์ประจำกาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำในการประกอบพิธีกรรมและรับรองสถานภาพการเป็นผู้นำ ในชนเผ่าซามัวมีการใช้ต้นคาว่าเป็นเครื่องดื่มแพร่หลาย เพราะการดื่มเป็นการแสดงออกในพิธีกรรม เมื่อชาวยุโรปนำยาสูบออกขายในดินแดนต่างๆ การสูบยาก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
ในศาสนาพุทธ อิสลาม มีการห้ามการดื่มสุราและอัลกอฮอล์ ในเขตเอเชียกลางมีการดื่มไวน์จากข้าวและเหล้าที่เกิดจากการหมักนมเรียกว่า คูมิส (koumiss) ในวัฒนธรรมอินเดียมีการดื่มเพื่อเชื่อมอความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม เช่น ใน เช่นวรรณะกษัตริย์นิยมดื่มน้ำที่สกัดจากดอกไม้ ส่วนวรรณะพราหมณ์นิยมดื่มชา ทั้งสองวรรณะนี้ต่างคิดว่าเครื่องดื่มของตนดีกว่าอีกวรรณะหนึ่ง ในประเทศจีนมีธรรมเนียมการดื่มเบียร์และไวน์อย่างแพร่หลาย และมีเครื่องดื่มหลายชนิดที่ทำเป็นยารักษาโรค ในสังคมญี่ปุ่นสมัยใหม่ หลังเลิกงาน ผู้ชายมักจะมารวมตัวกันดื่มเบียร์ การสูบยาและดื่มชาพบเห็นได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชีย ในเขตตะวันออกลางจะมีการดื่มกาแฟมาก ชุมชนแถบสามเหลี่ยมทองคำ ในลาว ไทย และเขมรมีการผลิตฝิ่นและคนท้องถิ่นก็ติดฝิ่น
นักสังคมวิทยาในยุโรป พยายามแยกความแตกต่างระหว่างเบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มประเภทอัลกอฮอล์ของชนเผ่าที่ใช้ในพิธีกรรม รูปแบบการดื่มและผลที่ตามมามีความแตกต่างกัน ในสังคมที่มีการดื่มเป็นเรื่องปกติ ทุกๆคนสามารถดื่มได้เหมือนการทำกิจวัตรประจำวัน ในสแกนดิเนเวีย อังกฤษ และยุโรปตะวันออก นิยมดื่มของเหลวที่กลั่นอย่างบริสุทธิ์ในช่วงเวลาพิเศษ ชนเผ่าซามี หรือชาวแล็บบ์เป็นพวกที่นิยมการดื่มเป็นชีวิตจิตใจ และคนเหล่านี้ก็ถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมามากกว่าชาวสแกนดิเนเวียกลุ่มอื่นๆ ชาวไอริชซึ่งไม่นิยมการดื่ม แต่มีสถิติจากปัญหาอัลกอฮอล์สูง ตรงข้ามกับชาวเมดิเตอร์เรเนียนที่นิยมการดื่ม แต่มักจะไม่มีปัญหา ปรากฏการณ์นี้ไม่สอดคล้องกับคำอธิบายขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าปัญหาจากอัลกอฮอล์จะมีมากในกลุ่มประชากรที่ดื่มจัด การใช้โคเคนและเฮโรอีนแพร่กระจายเข้าสู่ยุโรปในราวทศวรรษที่ 1960 การใช้ยาสูบ การดื่มกาแฟ ชา และช็อคโกแล็ตเกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารอื่นๆในชีวิตประจำวันมากกว่ากิจกรรมพิเศษ
ในอเมริกาเหนือ อัลกอฮอล์ถูกเหยียดหยามจากศาสนาและชนพื้นเมืองบางกลุ่ม และพวกขี้เมาและติดเหล้าจะถูกมองว่าเป็นพวกตัวปัญหา ตำนานของชาวพื้นเมืองเรื่องน้ำที่พุ่งเป็นไฟทำให้การดื่มแพร่กระจายออกไป การเปลี่ยนแปลงในระบบศีลธรรมของชนเผ่าบางแห่ง เช่น เผ่าเซเนก่า สะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของประเด็นเรื่องการดื่ม เพราะหลังจากที่ห้ามการดื่ม ชาวเซเนก่าก็หันไปเก็บสะสมสุราของชาวยุโรปที่ผลิตมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะสุราเป็นเครื่องแสดงถึงการได้รับการคุ้มครองจากวิญญาณ การใช้สุราเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา เปิดโอกาสชาวบ้านดื่มสุราและเมามาย จนกระทั่งศาสนาคริสต์เผยแพร่เข้ามาและผสมผสานกับความเชื่อเดิมจนเกิดศาสนาใหม่ จึงเริ่มมีการงดเว้นการดื่มสุรา
ชนเผ่า Pueblo ในอเมริกาหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา ในขณะที่ชนเผ่าอื่นๆนิยมการดื่มสุราเพราะทำให้เกิดความฮึกเหิมและกล้าหาญ ร้านเหล้าเกิดขึ้นในชุมชนของชาวพื้นเมืองทั่วไป และกลายเป็นสถานที่พบปะกัน เป็นที่สำหรับการชุมนุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางสังคมในเรื่องต่างๆ ในบางชุมชนการดื่มเหล้าและการเมาถูกมองว่าไม่ไดีเพราะเกี่ยวข้องกับคนตกงาน คนสิ้นหวัง และคนที่สังคมรังเกียจ ในชุมชนของชาวอินูอิตก็มีการรังเกียจคนเมาเช่นกัน ในบางชุมชนอาจมีการห้ามการดื่มสุรา แต่ในบางกรณีชนพื้นเมืองในอเมริกาอาจนำการดื่มสุรามาร่วมในพิธีกรรมด้วย ในพิธีกรรมของชนพื้นเมืองในอเมริกาทางภาคใต้มีการดื่มสุรา แต่ไม่มีปัญหาผู้ติดเหล้า นอกจากนั้นยังมีการสูบฝิ่นและสมุนไพร ยาสูบเป็นสัญลักษณ์ในพิธีกรรม แต่ปัจจุบันมีการสูบในชีวิตประจำวันจนเป็นเรื่องปกติ
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์และภาคสนามเกี่ยวกับสุราและยามีหลากหลายและยากที่จะหาข้อสรุปสากลว่าวัฒนธรรมการดื่มสุราและยาเป็นอย่างไร นักมานุษยวิทยาเข้าไปศึกษาเรื่องนี้โดยดูจากความแตกต่างทางสังคม ชนชั้น เพศ วัย ศาสนา และปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อการใช้ยาและสุรา จากหลักฐานทางคติชนวิทยาอธิบายว่าการดื่มสุราของผู้ชายทำให้รู้สึกมีพลัง และในวัฒนธรรมที่นิยมการดื่ม เป็นวัฒนธรรมที่ต้องเลี้ยงดูเด็ก การดื่มและการใช้ยายังช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างญาติพี่น้องหรือกลุ่มเพื่อน มนุษย์ในสังคมเรียนรู้วิธีการใช้ยาและสุรา ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะมีปฏิกิริยาอื่นๆต่อสิ่งนี้ด้วย ในสังคมที่มีจารีตประเพณี อาจมีการห้ามดื่มสุราและใช้ยา
นักชีววิทยา แพทย์ จิตแพทย์ ต่างลงความเห็นว่าการดื่มสุราและการใช้ยาเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาเชิงสังคม ในสังคมชนเผ่าที่ยึดจารีตประเพณี การดื่มสุราและใช้ยาไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมมากเท่ากับสังคมที่เจริญแล้ว ดังนั้นการศึกษาพฤติกรรมการดื่มสุราและการใช้ยาในมิติสังคมวัฒนธรรมจะช่วยให้เราเข้าใจการปฏิบัติของมนุษย์ต่เรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น การศึกษาที่เน้นอธิบายเฉพาะตัวยาและอัลกอฮอล์มากเกินไปทำให้มองข้ามปัจจัยส่วนบุคคล และเงื่อนไขของการนำไปสู่การใช้ยาและสุรา ทั้งนี้ทั้งยาและสุราเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการเข้าใจสภาวะของการดื่มสุราและการใช้ยาอาจทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Chrzan, Janet. 2013. Alcohol: Social Drinking in Cultural Context. New York: Routledge.
David Levinson and Melvin Ember (eds.) 1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company. New York. Pp.38-44.
Guerra-Doce, Elisa. 2014. The Origins of Inebriation: Archaeological Evidence of the Consumption of Fermented Beverages and Drugs in Prehistoric Eurasia. Journal of Archaeological Method and Theory, 1-32.
Guerra-Doce, Elisa 2015. Psychoactive Substances in Prehistoric Times:
Examining the Archaeological Evidence, Time and Mind: The Journal of Archaeology, Consciousness and Culture, 8:1, 91-112.
Heath, Dwight B. 2000. Drinking Occasions: Comparative Perspectives on Alcohol and Culture. Philadelphia, PA: Taylor and Francis.
หัวเรื่องอิสระ: อัลกอฮอล์และยา