Mana
มานา หมายถึงอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือการกระทำของวิญญาณที่มีผลต่อการกระทำของมนุษย์ เป็นความเชื่อในวัฒนธรรมโพลินีเซียนและเมลานีเซียน คำว่า “มานา” ปรากฎครั้งแรกในพจนานุกรมศัพท์ฮาวายของลอร์ริน แอนดรูว์ โดยแปลว่า อำนาจ อำนาจเหนือธรรมชาติ หรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประวัติของคำนี้มีความซับซ้อน ความคิดเกี่ยวกับมานา เป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาสนใจเนื่องจากเหตุผล 3 ประการ คือ หนึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับพลังของธรรมชาติที่มองไม่เห็น หรือพลังส่วนตัวของบุคคล สอง การศึกษาเรื่องมานา เกิดขึ้นโดยนักคิดแนววิวัฒนาการที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์ทางศาสนาและเวทมนต์ และสาม ความเชื่อมานา เป็นความเชื่อที่ใกล้เคียงกับความเชื่อของชนพื้นเมืองในอเมริกา
อาร์ เอช คอดริงตัน เขียนหนังสือเรื่อง The Melanesians: Studies in their Anthropology and Folk-Lore (1891) อธิบายว่าชาวเมลานีเซียนมีความเชื่อเรื่องอำนาจและการกระทำของสิ่งเหนือธรรมชาติ อำนาจนี้เรียกว่า “มานา” ความหมายของคำนี้จึงหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอำนาจนอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ หรือเป็นสิ่งที่ธรรมชาติควบคุมไม่ได้ คอดริงตันอธิบายว่ามานาคืออำนาจเหนือธรรมชาติ แต่สำแดงอิทธิฤทธิ์เชิงรูปธรรม โดยอาศัยธรรมชาติหรือเข้าสิงร่างของมนุษย์ มานาจึงล่องลอย ไม่มีที่อยู่ถาวร สามารถเข้าสิงอะไรก็ได้ ศาสนาของชาวเมลานีเซียนจึงมีความเชื่อเรื่องมานาเป็นส่วนประกอบสำคัญ และมานาจะถูกใช้เพื่อประโยชน์บางอย่าง
การศึกษาของจอห์น คิง เรื่อง The Supernatural : Its Origin, Nature and Evolution (1892) อธิบายว่าความเชื่อมานาเป็นความเชื่อสาธารณะ อีแวน พริตเชิร์ด กล่าวว่าความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณเป็นความคิดที่ซับซ้อนเกินไปสำหรับชาวบ้าน ความเชื่อวิญญาณจึงไม่ใช่สิ่งที่มีมาดั้งเดิม ความเชื่อเรื่องมานา อาจเป็นความคิดเรื่องโชคชะตาราศี คำเตือน หรือคำทำนาย ซึ่งชาวบ้านน่าจะคิดถึงได้ก่อน การศึกษาของ อาร์ อาร์ มาเร็ตต์ เรื่อง The Threshold of Religion(1909) อธิบายความเชื่อเรื่องมานา ควบคู่ไปกับเรื่องข้อห้ามซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางศาสนาระยะแรก มาเร็ตต์มิได้แยกความเชื่อมานาออกจากเรื่องเวทมนต์คาถา เขากล่าวว่า ข้อห้ามเป็นเรื่องของอันตราย ส่วนมานาเป็นเรื่องอำนาจที่ช่วยส่งเสริมมนุษย์
ถ้ามานาเป็นความเชื่อศาสนาระยะแรกของวิวัฒนาการ ก็อาจเข้าใจว่าพื้นที่ทางวัฒนธรรมอื่นๆก็มีความเชื่อในทำนองเดียวกันนี้ปรากฏขึ้น มาร์เร็ตต์กล่าวว่าชาวอะบอริจินส์ในออสเตรเลียมีความเชื่อเรื่อง manngur ซึ่งคล้ายกับความเชื่อมานา เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่อง “บารากา” ในเขตแอฟริกเหนือ ความเชื่อเรื่อง “ฮาซิน่า” ในเขตมาดากัสการ์ และอเมริกาเหนือ ความเชื่อเรื่อง “โอเรนดา” ของชนเผ่า Iroquoain ความเชื่อเรื่อง “วากัน” ของชนเผ่าSiouan ความเชื่อ”มานิตู” ของชนเผ่าอัลกอนเควียน
การวิจัยในเวลาต่อมา มีการทบทวนแนวคิดเรื่องมานา เป็น 3 ประเด็น คือ
1. ทฤษฎีวิวัฒนาการยังเป็นที่น่าสงสัย ต่อการอธิบายว่าความเชื่อมานาเป็นความเชื่อศาสนาขั้นแรกและจัดอยู่ในประเภทความเชื่อเดียวกับเวทมนต์ มาลีนอฟสกี้อธิบายว่า ความหมายของเวทมนต์ เช่นในสังคมเมลานีเซียนเป็นเรื่องเกี่ยวกับคาถาและพิธีกรรมเท่านั้น มิใช่เรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติทุกอย่าง
2. การตีความว่ามานาคืออำนาจเชิงนามธรรมไม่ใช่สิ่งที่น่าเชื่อถือ มานามิใช่อำนาจที่มองไม่เห็น ตัวอย่างการศึกษาของเรย์มอนด์ เฟิร์ธ(Raymond Firth) พบว่าความเชื่อมานาของชาวทิโกเปีย บนเกาะโซโลมอน เป็นความเชื่อที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม ชาวทิโกเปียเชื่อว่ามานา หรือ มานู เป็นส่วนประกอบของความสำเร็จในการทำงานต่างๆ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ เป็นความสามารถของมนุษย์ และอาศัยอำนาจของวิญญาณในการช่วยเหลือ
3. ความเชื่อเรื่องมานาในเขตหมู่เกาะต่างๆในแปซิฟิก ถูกนำไปเปรียบกับความเชื่ออื่นในวัฒนธรรมที่ต่างไป ชาวโพลินีเซียนเชื่อว่ามานาเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับการทำงานที่ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องของการห้าม และเป็นความเท่าเทียมทางสังคม ส่วนความเชื่อในทำนองเดียวกันซึ่งพบในเขตอื่น มีเงื่อนไขทางสังคมวัฒนธรรมต่างไปจากโพลินีเซียน จึงทำให้มานามีความหมายต่างไปจากความเชื่ออื่นๆ
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Keesing, Roger. 1984. Rethinking mana. Journal of Anthropological Research 40:137-156.
Mondragón, Carlos 2004. "Of Winds, Worms and Mana: The Traditional Calendar of the Torres Islands, Vanuatu". Oceania 74 (4): 289–308.
Robert H. Winthrop. 1991. Dictionary of Concepts in Cultural Anthropology. Greenwood Press, New York. Pp.171-172.
หัวเรื่องอิสระ: อำนาจเหนือธรรมชาติ