Market
คำว่า Market อาจหมายถึงสถานที่ที่มีการจับจ่าย หมายถึงแนวคิดทางการตลาด หรือการซื้อขายสินค้าทั่วไป ในทางมานุษยวิทยาจึงเกิดปัญหาในการนิยามว่าอะไรคือ “ตลาด” นอกจากนั้นยังความหมายของตลาดในฐานะที่เป็นสถานที่ซื้อขายจะเป็นตัวแทนของระบบการซื้อขายได้หรือไม่ เมื่อเอ่ยถึง “ตลาด” สิ่งที่คิดถึงอันดับแรกก็คือการซื้อและการขายวัตถุสิ่งของระหว่างมนุษย์ ส่วนการแลกเปลี่ยนสินค้าและวัตถุโดยไม่ใช้ตัวกลางที่มีมูลค่า หรือเงินตรา การแลกเปลี่ยนนี้อาจใช้วัตถุที่มีค่าอื่นๆแทนเงิน การแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและไม่ต้องที่พื้นที่เฉพาะ ส่วนตลาดในความหมาย “สถานที่” จะเกิดขึ้นอย่างมีเวลาจำกัด มีขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจน สถานที่ที่เป็นตลาดจะใช้สำหรับการติดต่อซื้อขายสินค้าของคนกลุ่มต่างๆ ส่วนคำว่า “การตลาด” (marketing) หมายถึงกระบวนการซื้อขายสินค้าที่ไม่ต้องอาศัยพื้นที่ ดังนั้นการซื้อขายสินค้าของมนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยพื้นที่ทางกายภาพ แต่ประเด็นเกี่ยวกับ “ตลาด” จะอธิบายได้ด้วยทฤษฎีของตะวันตกหรือไม่ หรือว่า แนวคิดของตะวันตกทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องตลาดมากขึ้น หรือว่าทำให้บิดเบือนความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของการติดต่อซื้อขายของมนุษย์
หลังสงครามเย็น ระบบการค้าเสรีแบบตะวันตกได้รับชัยชนะซึ่งประเทศต่างๆในโลกต่างนำระบบนี้ไปใช้อย่างแพร่หลาย แม้แต่ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน ดังนั้นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมจึงผนวกเข้ากับระบบการเมืองประชาธิปไตยได้อย่างเหนียวแน่น ระบบเสรีนิยมทางการค้าและการเมืองกลายเป็นวาทกรรมที่ครอบงำท้องถิ่นต่างๆตั้งแต่ระดับหมู่บ้านไปจนถึงระดับโลก ซึ่งก่อให้เกิดคำถามที่ว่าเราจะซื้อชีวิตแบบไหนให้เหมาะกับเรา ชัยชนะของระบบตลาดเสรีในทศวรรษที่ 1980 สวนทางกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น กล่าวคือแนวคิดเรื่องเสรีในระบบตลาดทำให้ชีวิตยุ่งยากมากขึ้น เนื่องจากผู้ที่กำหนดและชี้ชะตาคนในสังคมเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆที่มีอำนาจ ทำให้เกิดสภาวะวิกฤต ตึงเครียด และความขัดแย้ง วิกฤตการณ์นี้เกี่ยวข้องกับความคิดกระแสหลักทางสังคมและเศรษฐศาสตร์
แบบแผนของตลาดถูกสร้างมาจากนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งพยายามสร้างทฤษฎีมากมายมาอธิบาย และนักมานุษยวิทยาก็นำแนวคิดเหล่านั้นมาใช้เพื่อที่จะศึกษาความหมายของตลาดในวัฒนธรรมต่างๆ ในการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ เชื่อว่าตลาดคือพื้นที่สำหรับการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก การแข่งขันที่เข้มข้นนี้ทำให้ผู้ขายสินค้าต้องผลิตสินค้าที่ดีกว่าคนอื่นๆ เพื่อให้ขายได้มากกว่าคนอื่นๆ แต่ระบบตลาดในความหมายนี้ไม่สามารถอธิบายตลาดได้ทุกแบบ ทั้งนี้ต้องมีการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบตลาดในความหมายอื่นๆด้วย
ข้อถกเถียงระหว่างแนวคิดแบบ formalist และแบบ substantivist เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับรูปแบบที่เหมาะสมของตลาดและแนวคิดที่จะนำไปวิเคราะห์ตลาดในวัฒนธรรมต่างๆ ในส่วนของ formalist เชื่อว่าพื้นที่ทางเศรษฐกิจคือพื้นที่เฉพาะของกิจกรรมที่เกิดขึ้นทุกวัฒนธรรม ต่างกันเพียงรายละเอียด ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์สามารถนำไปอธิบายระบบตลาดได้ทุกวัฒนธรรม ส่วนพวก substantivist เชื่อว่าเศรษฐกิจไม่อาจแยกอยู่โดดๆ แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางวัฒนธรรมอื่นๆ และอยู่ในเงื่อนไขทางสังคม ด้วยเหตุนี้ทำให้ระบบเศรษฐกิจในแต่ละสังคมแตกต่างกันทั้งในแง่ที่เป็นพฤติรรมและความหมาย การถกเถียงเหล่านี้จะมีการอ้างถึงคำว่า “market” “marketplace” “market-principles” ตลาดในฐานะที่เป็นพื้นที่ทางกายภาพ หมายถึงพื้นที่ที่ใช้ประกอบกิจกรรมของมนุษย์ในการแลกเปลี่ยนวัตถุสิ่งของ ตลาดในฐานะที่เป็นแนวคิดและทฤษฎี จะหมายถึงระบบความคิดที่สันนิษฐานว่าการซื้อขายสินค้าสัมพันธ์กับกระบวนการทางเศรษฐกิจอื่นๆ
คาร์ล โพลันยี นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจซึ่งมีแนวคิดแบบ substantive ได้แยกประเภทของตลาดและระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าออกเป็นประเภทต่างๆ แนวคิดของโพลัยนีถูกนำไปใช้โดยพอล โบแฮนนัน และจอร์จ ดัลตัน ซึ่งอธิบายชนิดของการค้าขายในแอฟริกา ตั้งแต่ชนิดที่ไม่มีระบบตลาด ซึ่งชาวบ้านจะนำของมาแลกเปลี่ยนกันหรือแบ่งปันกันโดยไม่มีการแสวงหากำไร ไปจนถึงระบบตลาดที่ต้องอาศัยพื้นที่ค้าขายและมีแนวคิดเกี่ยวกับการแสวงหากำไรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นักคิดแนว substantive เชื่อว่าแนวคิดตลาดแบบตะวันตกสามารถอธิบายตลาดในที่อื่นได้เฉพาะกรณีที่ตลาดนั้นมีการค้าแบบแสวงหากำไรเท่านั้น ในบางสังคมที่มีระบบแลกเปลี่ยนสินค้าแบบอื่นๆ นักคิดแนว formalist ต้องปรับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เพื่อที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งมิใช่ระบบเศรษฐกิจที่เหมือนตะวันตก นักคิดแนว formalist จะนำทฤษฎีเรื่องการแสวงหากำไรและประโยชน์สูงสุด การตัดสินใจลงทุนและสัดส่วนของปัจเจกบุคคลไปอธิบาย
ข้อถกเถียงนี้นำไปสู่ความน่าเบื่อและไร้ประโยชน์ โดยไม่ช่วยให้เกิดมุมมองใหม่ขึ้นมา นอกจากนั้น วิธีคิดของพวก substantivist ก็เป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อระบบตลาดเสรีแผ่อำนาจไปทั่วโลก การถกเถียงเรื่องทฤษฎีสำหรับการวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่ไม่ตรงประเด็นท่ามกลางโลกที่กำลังกลายเป็นระบบตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ การพัฒนาแนวคิดทฤษฎีในช่วงทศวรรษที่ 70อาจแบ่งได้เป็นสองแนวคิด แนวคิดแรกเป็นของนักมานุษยวิทยาที่สนใจบริบททางสังคมของท้องถิ่น ส่วนแนวคิดที่สองเป็นของมาร์กซิสต์ ซึ่งอธิบายระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าและต่อมาก็อธิบายเกี่ยวกับระบบอำนาจทางเศรษฐกิจมากกว่าจะเป็นเรื่องของการค้าอย่างเดียว อย่างไรก็ตามแนวคิดของมาร์กซิสต์ให้ความสำคัญกับทฤษฎีการตลาดเพียงอย่างเดียวซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยตามมา
ทฤษฎีที่พัฒนาตามมาอีกคือการศึกษาตลาดในสังคมชาวนา ซึ่งเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ การศึกษาของ จี ดับบลิว สกินเนอร์ ทำให้เกิดทฤษฎี central-place และในช่วงทศวรรษที่ 1970 การศึกษาของคารอล สมิธก็ทำให้แนวคิดแบบ formalist แพร่ขยายมากขึ้น การศึกษาของสกินเนอร์เรื่องโครงสร้างหน้าที่ของระบบตลาดในเขตชนบทของจีน สะท้อนให้เห็นภาพทางภูมิศาสตร์ที่ใช้เป็นพื้นที่ของตลาด สมิธอธิบายว่าทฤษฎี central-place ของสกินเนอร์ช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมการค้าขายในเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อน การศึกษาของสมิธเรื่องหน้าที่ทางพื้นที่ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ของตลาดคือพื้นที่ที่สำคัญมากที่สุด ช่วยทำให้เห็นว่าชนบทเกี่ยวข้องและเชื่อมต่อกับเมืองอย่างไร และช่วยให้มองหานิยามระบบตลาดว่าเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นตลาดแบบเมืองหรือชนบท หรือว่าเป็นตลาดถาวรหรือชั่วคราว
แนวคิดแบบ formalist เชื่อว่าทฤษฎี central-place จะทำให้ความวุ่นวายในโลกหายไปได้ การอธิบายด้วยทฤษฎีนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องสังคม การเมือง และพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ รูปแบบของตลาดที่ใช้วิเคราะห์ตามทฤษฎีนี้เป็นตลาดแบบชาวนา ซึ่งมีสินค้าในภาคเกษตรกรรมและบางชนิดมาจากอุตสาหกรรม ทฤษฎี central-place หรือพื้นที่สาวนกลางเป็นทฤษฎีสากลที่ใช้อธิบายรูปแบบตลาดอื่นๆที่เกิดขึ้นในโลก ยิ่งกว่านั้น ทฤษฎีนี้ยังสนใจการเคลื่อนย้ายสินค้าด้วยระบบการซื้อขาย สนใจชนิดของการค้าขาย และผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากการค้า อาจกล่าวได้ว่าตลาดจึงเป็นพื้นที่ที่ช่วยให้เกิดโครงสร้างทางสังคม
แนวคิดของพวก formalist ยังสนใจเรื่องพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลที่เกิดในตลาด การวิเคราะห์ในประเด็นนี้พยายามชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการซื้อขายสินค้าเป็นสิ่งที่มีเหตุผล ปัจเจกแต่ละคนคือผู้ที่คิดและเลือกซื้อและขายสินค้าอย่างมีเหตุผล การอธิบายแบบนี้คือการเหมารวมเกินไป โดยกล่าวว่ามนุษย์คือสัตว์เศรษฐกิจที่หวังกำไรและมูลค่าทางเศรษฐกิจ การอธิบายแบบนี้ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ระบบเหตุผลของพฤติกรรมซื้อขายสินค้ายังมีความสัมพันธ์กับการหวังผลประโยชน์ แต่สิ่งนี้ย่อมมีเงื่อนไขของตัวเอง และนำไปสู่แนวคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างมีเป้าหมาย และรูปแบบที่แตกต่างกันของการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งอาศัยเหตุผลเหมือนกันในแต่ละวัฒนธรรม คำอธิบายของ formalist บอกให้รู้ว่าระบบเหตุผลไม่ได้มีเฉพาะในสังคมตะวันตก แต่นักมานุษยวิทยาไม่เชื่อ เนื่องจากการอธิบายของ formalist มีเงื่อนไขทางการเมืองและอาจทำให้วัฒนธรรมบางแห่งถูกมองว่าไร้เหตุผล คำถามคือการวิเคราะห์พฤติกรรมของปัจเจกที่ก่อให้เกิดความเข้าใจพฤติกรรมการซื้อขายที่ต่างกันในแต่ละวัฒนธรรมเป็นเพียงสมมิตฐานใช่หรือไม่ และความมีเหตุผลแบบตะวันตกคืออะไร
เมื่อตลาดถูกอธิบายว่าเป็นระบบของข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดการสร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นมา ทฤษฎีนี้เชื่อว่าข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งมีมนุษย์แบ่งปันกันได้ และยังถูกปกปิด ปิดกั้นไว้สำหรับคนบางคนทั้งที่เป็นพ่อค้าแม่ค้า และนักมานุษยวิทยา ในสังคมที่ไม่มีการกระจายข่าวอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การค้าขายสินค้าที่ด้อยคุณภาพ พ่อค้าที่ต้องซื้อขายสินค้าที่ด้อยคุณภาพ พ่อค้าคนนั้นต่อรองเพื่อลดความเสี่ยง หรือการผูกขาดจากสถาบันหรือคนที่ต้องค้าขายด้วย เพื่อทำให้การค้าดำเนินต่อไปได้ ความไม่แน่นอนของการค้าเกิดขึ้นในสังคมชาวนา และเป็นผลมาจากการด้อยพัฒนาในเรื่องสาธารณูปโภค การศึกษาของ เจ และ พอล อเล็กซานเดอร์ ในกลางทศวรรษที่ 1980 ศึกษาเรื่องการต่อรองราคาสินค้า การตั้งราคา การให้ข้อมูลทางการตลาด และการค้าระหว่างคนกลุ่มต่างๆในชวา พบว่าการควบคุมข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับพ่อค้าเพื่อที่จะได้ผลกำไร ผู้ซื้อและผู้ขายอาจมิใช่ปัจเจก แต่การซื้อขายอาจเกิดขึ้นภายใต้ความสัมพันธ์ที่มาจากข้อมูลข่าวสารและอำนาจที่โยงไปถึงพฤติกรรมการซื้อขาย
ตลาดในฐานะเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม มาจากแนวคิดของพอล อเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของการศึกษามานุษยวิทยาเศรษฐกิจ และยังเป็นประเด็นที่สตีเฟ่น กัดแมน(1986) นำไปศึกษาในเรื่องเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม ซึ่งอธิบายว่าระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตกเป็นเพียงระบบหนึ่งที่เกิดขึ้นมาและมีข้อสมมุติฐานเป็นของตัวเอง ดังนั้นการศึกษาระบบเศรษฐกิจต้องคำนึงถึงเงื่อนไขทางวัฒนธรรมด้วย ทั้งนี้วัฒนธรรมมิใช่ด้านตรงข้ามของเศรษฐศาสตร์ แต่วัฒนธรรมจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมทางการตลาด และบอกให้รู้ว่าทำไมทฤษฎีเศรษฐกิจแบบตะวันตกจึงไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ วัฒนธรรมและเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ตอบสนองซึ่งกันและกัน พฤติกรรมการค้าขายในตลาดทุกชนิดเป็นสิ่งที่หล่อหลอมจากวัฒนธรรม พอล อเล็กซานเดอร์อธิบายว่า เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกระบวนการของตลาดทั้งที่เป็นแบบตะวันตกและมิใช่ตะวันตก เช่นเดียวกับการศึกษาเปรียบเทียบระบบเครือญาติในวัฒนธรรมต่างๆ โรเจอร์ คีซิ่งอธิบายว่าระบบตลาดแบบตะวันตกถูกอธิบายแบบเหมารวมและตั้งความหวังมากเกินไป
การเปลี่ยนทฤษฎีโครงข่ายความเป็นญาติไปเป็นเรื่องระบบภาษาและสัญลักษณ์อาจทำให้เข้าใจความหมายของตลาดในฐานะเป็นปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมได้ดีขึ้น นิยามของตลาดจากนักเศรษฐศาสตร์อธิบายว่าตลาดเป็นหน่วยทางเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยกิจกรรมของการซื้อขายและการตั้งราคา ความหมายนี้ตอบสนองสิ่งที่เรียกว่าเป็นกำลังซื้อและกำลังขายในการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งตลาดในความเป็นจริงอาจมิได้มีเพียงสิ่งเหล่านี้ การศึกษาของอเล็กซานเดอร์(1991) พบว่าการต่อราคาในตลาดชวาอาจสะท้อนความหมายทางเศรษฐกิจและเห็นภาพวิธีการตั้งราคาของชาวบ้านได้ดีกว่าวิธีแบบตะวันตก อเล็กซานเดอร์ชี้ให้เห็นว่าการตั้งคาราในตะวันตกไม่สอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้าน เพราะชาวบ้านคิดว่า “ความยุติธรรม” ในราคาสินค้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
การศึกษาของกัดแมน อธิบายพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ที่หล่อหลอมมาจากวัฒนธรรม ถ้าทฤษฎีการตลาดของตะวันตกเป็นวิธีคิดทางวัฒนธรรม คำถามคือทำไมทฤษฎีนี้จึงถูกนำมาใช้และดำรงอยู่ในชีวิตของมนุษย์ จากการศึกษาวาทกรรม คำอธิบาย และรูปแบบของตลาดเป็นสิ่งที่หล่อหลอมมาจากสังคม โดยมีนักเศรษฐศาสตร์เป็นผู้กำหนดนิยามและแสดงออก นักมานุษยวิทยาจึงศึกษาวิธีการของนักเศรษฐศาสตร์ในการสร้างวาทกรรมเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ในปัจจุบันนักมานุษยวิทยายังสนใจศึกษาวิธีการของชนพื้นเมืองที่จะติดต่อสัมพันธ์กับระบบโลกและอำนาจภายนอก ความรู้ของท้องถิ่นอาจมิใช่ปัจจัยที่ทำให้เราเข้าใจวิธีที่ชาวบ้านเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบโลก แต่ต้องศึกษาบริบทของกระบวนการทางวัฒนธรรม และค้นหาว่าชาวบ้านใช้ระบบตลาดพร้อมๆกับการทำกิจกรรมเชิงอำนาจอย่างไรบ้าง
การศึกษาดังกล่าวนี้ข้ามพ้นไปไกลเกินกว่าทฤษฎีของพวก substantive ซึ่งแยกบริบททางสังคมออกจากบริบททางเศรษฐกิจอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมยุโรปในทัศนะของคาร์ล โพลันยี คือการเกิดขึ้นของระบบตลาดซึ่งเข้ามาสร้างมาตรฐานศีลธรรมใหม่ นักวิชาการคนอื่นอธิบายว่าเศรษฐกิจแบบชนเผ่าที่เน้นศีลธรรมถูกครอบงำด้วยระบบตลาดสมัยใหม่ที่เน้นกำไร อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีการตลาดก็มีระบบศีลธรรมของตัวเองเช่นกัน การกระทำทางเศรษฐกิจจะถูกมองว่าเป็นการกระทำต่อสินค้า มนุษย์ทุกกลุ่มจะมีการแลกเปลี่ยนสินค้า ถ้าตลาดเป็นระบบที่มีการควบคุมตัวเอง ตลาดก็จะควบคุมให้เกิดสมดุลทางผลประโยชน์ และการร่วมมือทางสังคม แต่ตลาดก็มีศีลธรรมที่ขัดแย้งกัน 2 ด้าน คือ การทำลายระบบศีลธรรมประเพณี และการก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาประโยชน์สูงสุด
ตลาดในฐานะเป็นตัวแทนของอำนาจคือประเด็นที่ทำให้เห็นว่าตะวันตกสร้างระบบตลาดขึ้นมาอย่างไร วาทกรรมของตลาดเป็นวาทกรรมกระแสหลักในโลกปัจจุบัน ตลาดและความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดเป็นพรมแดนของการแข่งขันทางอำนาจ โดยวัดและตัดสินด้วยคุณค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ตลาดในฐานะเป็นเครื่องหมายของทุนนิยมปกปิดซ่อนเร้นสิ่งที่เป็นอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการเอาเปรียบและความไม่เท่าเทียมกันของการแลกเปลี่ยนสินค้าและอำนาจทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้หนักหนาสาหัสมากกว่าการเป็นแค่เรื่องทางการเมือง ผู้มีอำนาจชี้นำในการสร้างวาทกรรมของตลาด คือผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดว่าอะไรคือการค้าขาย มีอำนาจในการแทรกแซงวาทกรรมของคนอื่น และกล่าวอ้างวาทกรรมของตัวเอง เสียงพูดของชนพื้นเมืองที่บรรยายถึงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้าของคนภายนอกยังเป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน ระบบโลกไม่เพียงแต่รักษาสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ แต่มันยังเต็มไปด้วยวาทกรรมเกี่ยวกับ “ตลาด” ระบบโลกยังสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับท้องถิ่นและในระดับนานาชาติด้วย
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เอกสารอ้างอิง:
Bohannan, Paul 1959. "The Impact of money on an African subsistence economy". The Journal of Economic History 19 (4): 491–503.
Carrier, James 1997. Meanings of the market: the Free Market in Western Culture. Oxford: Berg.
David Levinson and Melvin Ember (eds.) Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. Pp.728-732.
George Dalton, Paul Bohannon 1962. Markets in Africa. Evanston, Illinois: Northwestern University Press.
Graeber, David 2001. Towards an Anthropological Theory of Value: The false coin of our own dreams. Basingstoke: Palgrave.
หัวเรื่องอิสระ: ตลาด